วันพฤหัสบดี

การใช้ Adobe Lightroom

- Short Cut ที่ควรทราบสำหรับการจัดการและนำเสนอภาพ
F - เปลี่ยนมุมมองหน้าจอ
L - ทำให้จอมืดลง เพื่อให้ภาพเด่นขึ้น
Tab - ซ่อน / แสดง อุปกรณ์เครื่องมือด้านข้าง (ไม่มีผลกับอัลบั้มภาพ)
Shift + Tab - ซ่อน / แสดง อุปกรณ์เครื่องมือทั้งหมด
Num 1-5 - ให้ rating เป็นคะแนนกับภาพนั้น ตั้งแต่ 1 5 ดาว
R - ครอบภาพ
C - เรียกภาพปัจจุบันที่เลือกอยู่กับภาพที่เลือกก่อนหน้านี้ ขึ้นมาเปรียบเทียบกัน
T - ซ่อนและแสดง Tool Bar
- โหมด Library (จัดการอัลบั้มภาพ)
Navigator - ใช้สำหรับย่อ / ขยาย ภาพ
Preset - ใช้เรียกค่าการแต่งภาพในโหมด Develop ที่เราบันทึกขึ้นมาใช้กับภาพนั้น
Crop Ratio - ครอบภาพ โดยใช้อัตราส่วนตามที่กำหนด (หากโปรแกรมครอบให้ไม่พอใจ สามารถกด R เพื่อครอบภาพเองได้)
Treatment - เลือกว่าต้องการแสดงเป็นภาพสี หรือขาว-ดำ
WB - ปรับค่า White Balance ของภาพนั้น โดยมี Preset ให้เลือกอยู่แล้ว หรือจะปรับค่า
เองอย่างละเอียด ที่ Temp และ Tint ก็ได้
Exposure - เพิ่มการชดเชยแสงของภาพ
Recovery - ทำให้ส่วนที่เป็น Highlight มืดลง เพื่อกู้รายละเอียดส่วนที่เกิน Highlight กลับมา
Fill Light - ตรงข้ามกับ Recovery ใช้เพิ่มความสว่างให้กับส่วนที่มืด เพื่อดึงรายละเอียดส่วนที่
มืดกลับคืนมา
Black - ใส่สีในส่วนสีโทนมืดของภาพ ให้มืดมากขึ้น
Brightness - เพิ่มความสว่างของภาพ
Contrast - เพิ่มความเปรียบต่างของภาพ (ภาพส่วนดำจะดำมากขึ้น ส่วนขาวจะขาวมากขึ้น)
Vibrance - เพิ่มความสดของสี (คล้าย Saturation)
Auto Tone - ให้โปรแกรมปรับ Option ในส่วน Quick Develop ให้โดยอัตโนมัติ
Reset - คืนค่าเริ่มต้นของภาพนั้น

- โหมด Develop (ตกแต่งภาพ)
Histogram
บอก Channel สีรวมถึงขาว-ดำ ว่ามีปริมาณมากน้อย เพียงใดในภาพนั้นๆ ไล่จากด้านซ้าย (ส่วนที่มืดที่สุดไป) จนถึงด้านขวา (ส่วนที่สว่างที่สุด) ใน Histogram แบ่งออกได้เป็น 4 ส่วน หลักๆ ได้แก่
1. Blacks
2. Fill Lights
3. Exposure
4. Highlight
เมื่อเอาเมาส์ไปวางไว้เหนือลูกศรรูปสามเหลี่ยมชี้ขึ้นด้านซ้ายสุด จะบอกถึง พื้นที่ส่วนที่ภาพนั้นไม่มีรายละเอียดเนื่องจาก พื้นที่ในส่วนนั้น มืดเกินกว่าที่กล้องจะเก็บรายละเอียดมาได้ ( ในทางกลับกัน ลูกศรด้านขวาจะบอกถึงพื้นที่ที่ไม่มีรายละเอียด เนื่องจาก พื้นที่นั้นสว่างเกินกว่าที่กล้องจะเก็บรายละเอียดได้ ) นอกจากนี้ เรายังสามารถปรับค่า Exposure, Recovery, Fill light และ Blacks ได้โดย Drag เมาส์ที่ Histogram ได้เลย

Basic
Treatment = เปลี่ยนภาพเป็นสี หรือ ขาว-ดำ
WB
ปรับ White Balance สามารถเลือกปรับได้ 3 แบบ
1. เลือกจากPreset ที่กำหนด
2. เลือกจากตัวอย่างสีเทากลางในภาพ โดยคลิกที่หลอดดูดสี แล้วเลือกตัวอย่างสีจากในภาพ ตัวอย่างสีที่เลือก ตามทฤษฎี จะต้องเป็นสีเทากลาง 18 % แต่เราพออนุโลมเลือกสีขาว หรือสีเทาในภาพได้
3. ปรับค่าเองจาก สไลเดอร์ Temp และ Tint
Tone
ปรับแสงในภาพ โดยสามารถให้โปรแกรมปรับให้เอง (กด Auto) หรือเลือกปรับเองก็ได้
Exposure - เป็นการจำลองการปรับค่ารูรับแสงให้แคบลง (-) หรือกว้าง (+) ขึ้น มีผลทำให้ภาพนั้น สว่างหรือดำยิ่งขึ้น คล้ายการปรับ F-stop ที่หน้ากล้อง (ไม่มีผลกับระยะชัด)
Recovery - เป็นการทำให้ภาพส่วนที่เป็น Highlight มืดลง เพื่อดึงรายละเอียดในพื้นที่ส่วนที่เกินกว่า Highlight กลับคืนมา (ฟังก์ชั่นนี้จะไม่มีผลกับพื้นที่ส่วน Blacks แต่มีผลเล็กน้อยกับ พื้นที่ส่วน Fill Light และ Exposure )
Fill Light - เป็นการเพิ่มความสว่างให้กับภาพในส่วนพื้นที่ black ( คล้ายฟังก์ชั่น D- Light ใน Capture NX ) มีประโยชน์ในกรณีที่ต้องการให้ภาพทั้งภาพมีโทนแสงเท่ากัน เช่น แก้การถ่ายภาพย้อนแสง เป็นต้น
Blacks - คล้ายกับ Highlight แต่จะเป็นการดึงรายละเอียดในพื้นที่ส่วนที่มืดกว่า Blacks กลับคืนมา
Brightness - เป็นการเพิ่มความสว่าง โดยใช้หลักรีดสีให้สว่างขึ้น โดยจะรีดสีไม่เกินกว่าขอบเขต Black และ Highlight ของภาพ ผลหลักๆ กับพื้นที่ส่วนที่เป็น Fill Lights และ Exposure ของภาพ ในกรณีที่ปรับค่า Brightness เพิ่มขึ้น ภาพจะสว่างขึ้น แต่จะออกลักษณะฝ้าๆ เนื่องจากโทนสีในส่วนที่ควรจะเป็นโทนสีดำกลับเป็นสีเทาแทน
Contrast - ปรับความเปรียบต่างของภาพ มักใช้คู่กับ Brightness เพื่อทำให้ภาพส่วนที่เป็นสีเทากลับเป็นสีดำ หากปรับเพิ่มขึ้น สีโทนขาวที่อยู่ทางขวาของเส้นกลาง Histogram จะถูกปรับให้สว่างมากขึ้น และสีโทนดำที่อยู่ทางซ้ายจะถูกปรับให้ดำมากขึ้น ในทางกลับกัน หากปรับ Contrast ลดลง โทนสีทั้ง 2 ด้าน จะปรับลู่เข้าหาเส้นกลาง ส่งผลให้ภาพดูลักษณะเทาๆ ไม่มีความเปรียบต่างของสี
Colors
โหมดในการควบคุมสี มี 2 ส่วน ได้แก่
Vibrance - เพิ่ม contrast ของสีทั้ง3สี RGB (กรณีภาพอยู่ในโหมด RGB) ให้เข้มขึ้นหรือจืดลง
Saturation - ใช้เร่งสีแต่ละสี (RGB) ให้แต่ละสีขับออกมาได้เด่นขึ้น (กรณีที่ปรับเพิ่มขึ้น แต่ละสีในภาพจะสามารถแยกออกจากกันได้อย่างชัดเจน)

Tone Curve
แกน X แสดงความสว่างของภาพ ไล่จากด้านซ้ายไปด้านขวา คือจากมืดไปสว่าง แกน Y แสดงปริมาณของแสงในแต่ละค่าแกน X ว่ามีมากน้อยเพียงไรในภาพ
พื้นที่ของ Curve จะถูกแบ่งออกเป็น 4 ส่วน โดยแบ่งจาก ตาราง 4x4 ใน Curve ได้แก่
1. Highlights สี่เหลี่ยมผืนผ้าที่ 4 ของแกน x
2. Lights สี่เหลี่ยมผืนผ้าที่ 3 ของแกน x
3. Dark สี่เหลี่ยมผืนผ้าที่ 2 ของแกน x
4. Shadows สี่เหลี่ยมผืนผ้าที่ 1 ของแกน x
เราสามารถปรับขอบเขตของการปรับ Curve ขึ้นลง ได้โดยเลื่อนสไลเดอร์รูปหยดน้ำ 3 หยด ด้านล่าง Curve
ในเบื้องต้นของการปรับ Curve แนะนำให้ใช้ Slider ด้านล่าง แทนที่จะปรับที่ตัว Curve โดยตรง ซึ่งหลักโดยทั่วไป คือ
1. เพิ่ม Lights เพื่อทำให้พื้นที่ส่วนใหญ่ของภาพสว่างขึ้น
2. ลด Highlights เพื่อให้พื้นที่ขาวสุดของภาพ มีรายละเอียดขึ้นเล็กน้อย
3. เพิ่ม Shadows เพื่อให้พื้นที่ดำสุดของภาพ มีรายละเอียดขึ้นเล็กน้อย
4. ลด Dark เล็กน้อย เพื่อคงรายละเอียดส่วนดำของภาพไว้ ไม่ให้ขาวตาม Lights ที่เพิ่มขึ้น ทำให้ภาพมีความเปรียบต่างของสี
เรายังสามารถปรับค่าความโค้งของ Curve เพื่อให้เกิด Contrast มากขึ้นหรือน้อยลงได้ที่ Point Curve ได้แก่
1. Linear
2. Medium Contrast
3. Strong Contrast
* ในแต่ละภาพ สามารถปรับแก้ได้แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับภาพต้นฉบับและวัตถุประสงค์ของการนำเสนอภาพไม่จำเป็นต้องทำตาม 4 ขั้นตอนข้างต้นเสมอไป ใช้หลักให้สายตามองเห็นว่าสวยก็พอ


วันพุธ

.... วิธีเอาชนะอารมณ์เครียด ....


เมื่อคุณเผชิญภาวะเครียดทางอารมณ์ คุณคงอยากให้อารมณ์เครียดหมดไปอย่างรวดเร็ว เพราะภาวะ เครียดนี้จะทำให้คุณเป็นคนที่ไม่น่าคบหาสมาคม คุณก็ทราบดีว่า อารมณ์ชนิดนี้ไม่มีใครต้องการแม้แต่ตัวคุณเองก็เถอะ เมื่อเกิดอารมณ์ร้ายขึ้นแล้วก็จะทำให้คุณค่าในตัวคุณด้อยลง อย่างมากเทียวค่ะ กริยา วาจา ที่ไม่เหมาะสมก็จะแสดงออกมา เพาะฉะนั้นคุณควรจะมีวิธีการจัดการ กับอารมณ์ร้ายนี้ และต่อไปนี้เป็น ข้อแนะนำบางประการ



  • ๑. หาใครสักคนที่คุณไว้ใจ ระบายความรู้สึก รับรู้เรื่องราวต่าง ๆ ที่ทำให้คุณเกิดความไม่พอใจทำให้คุณไม่ สบอารมณ์ คนที่คุณไว้ใจได้ เช่น พ่อ แม่ ภริยา-สามี พี่น้อง เพื่อนสนิท หรือครูบาอาจารย์ ฯลฯ การที่มีคนรับฟังคุณ แค่นี้ก็เป็นการระบายปัญหาที่คุณมีอยู่แล้วค่ะ ระหว่างที่คุณ ระบายเรื่องราวต่าง ๆ นั้น คุณก็อาจ จะได้คำตอบของปัญหานั้น ๆ พร้อมกันก็ได้

  • ๒. หลีกเลี่ยงอารมณ์เครียด ด้วยการหากิจกรรมอย่างอื่นทำเพื่อจะได้พบกับสิ่งที่ทำให้คุณไม่สบอารมณ์สักระยะหนึ่ง ด้วยการเล่นกีฬาที่คุณชอบ ไปพักผ่อนเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ เดินชอบปิ้งตามห้างสรรพสินค้าอ่านหนังสือที่คุณชอบ ฯลฯ การได้ทำกิจกรรมต่าง ๆ เหล่านี้ จะทำให้คุณลืมคิดถึงเรื่องทรมานใจ และมีข้อแนะนำว่ากิจกรรมที่คุณเลือกนั้น คุณต้องทำด้วยความตั้งใจจริง ด้วยความชอบจริง ๆ คุณจึงประสบผลสำเร็จในการเอาชนะอารมณ์เครียดของคุณ การได้ละความสนใจจากเรื่องเครียด ๆ จะทำให้คุณมีอารมณ์สุขุม มีสติปัญญาไตร่ตรองปัญหาอย่างรอบคอบและกลับมาต่อ สู้ปัญหาอย่างใจเย็นต่อไป

  • ๓. พยายามระงับอารมณ์โกรธลงในเวลาอันรวดเร็วที่สุด เพราะอารมณ์โกรธจะทำให้ความคิดมืดมน อาจแสดงอาการหรือพฤติกรรมที่ไม่ดี อันจะมำให้เกิดความเสียใจได้ “ รักยาวให้บั่น ” เราจะต้องบั่นทอนการเฉยเมยต่อเพื่อนฝูง การวิพากษ์วิจารณ์โดยไม่จำเป็น การพูดจาไม่สุภาพ การกระทบกระเทียบ เสียดสี แดกดัน คำด่าที่รุนแรงเผ็ดร้อน และการผิดนัดหมาย ฯลฯ ทิ้งไปเสีย
    “ รักสั่นให้ต่อ ” เพื่อกระชับระยะทางของการสร้างมิตรภาพให้สั้นเข้ามาหรือใกล้ชิดยิ่งขึ้น เราจะต้อง “ ต่อสายใยมิตรภาพ ” ด้วยการให้ความสำคัญ สนใจใยดีต่อความสุขความทุกข์ของเพื่อน ชมเชยและดีใจ ด้วยเมื่อเพื่อนได้รับสิ่งสวยงาม หรือได้รับความสำเร็จ พูดจาด้วยถ้อยคำสุภาพ มองด้วยสายตาที่เป็นมิตรไม่ผิดนัดหมายโดยไม่จำเป็น
    เพียงเท่านี้ทางสายมิตรภาพที่ต้องการก็จะยืนยาว จนเป็นอมตะนิรันดร์กาลได้เลยทีเดียว

วันพฤหัสบดี

.... ๑๐ วิธีในการช่วยลดภาวะโลกร้อน ....

มาช่วยกันลกโลกกร้อนกันนะครับ



  • 1.ต้องยอมรับก่อนว่า สาเหตุของการเกิดภาวะโลกร้อนมิได้มาจากประเทศอุตสาหกรรมหรือประเทศพัฒนาแล้วเป็นหลัก แต่เราทุกคนบนพื้นผิวโลก รวมทั้งคนไทยด้วย ต่างก็เป็นส่วนหนึ่งของต้นเหตุให้เกิดภาวะโลกร้อน เพราะการใช้ชีวิตประจำวันของเรา ไม่ว่าจะเป็นการใช้ไฟฟ้า การเดินทาง การขนส่ง การบริโภค การสร้างที่พักอาศัย การซื้อของ ล้วนมีส่วนสำคัญในการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศ


  • 2. ประหยัดการใช้พลังงานทุกชนิด โดยเฉพาะไฟฟ้า เพราะเชื้อเพลิงสำคัญในการผลิตไฟฟ้า คือ น้ำมัน ถ่านหิน และก๊าซธรรมชาติ ล้วนแต่ปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ก่อภาวะเรือนกระจกทั้งสิ้น เลือกอุปกรณ์ประหยัดไฟฟ้า เช่นเปลี่ยนมาใช้หลอดประหยัดพลังงาน เพราะหลอดไฟที่ใช้กันอยู่ทั่วไปเปลี่ยนพลังงานเพียงร้อยละ ๑๐ เท่านั้นให้เป็นแสงสว่าง ส่วนพลังงานอีกร้อยละ ๙๐ สูญเสียไปในรูปของความร้อน และถอดปลั๊กเครื่องใช้ไฟฟ้าทุกชนิดเมื่อเลิกใช้งาน


  • 3. หลีกเลี่ยงการใช้รถยนต์ส่วนตัว เพื่อเป็นการประหยัดการใช้น้ำมัน ถ้าไม่จำเป็นควรหลีกเลี่ยงการโดยสารเครื่องบิน ดังที่รายงานของสถาบันสิ่งแวดล้อมระหว่างประเทศแนะนำว่า ควรใช้บริการรถไฟสำหรับการเดินทางในระยะทางไม่เกิน ๖๔๐ กิโลเมตร ซึ่งจะช่วยลดจำนวนเที่ยวบินลงได้ถึงร้อยละ ๔๕ และบรรดานักธุรกิจควรใช้ระบบการประชุมผ่านวิดีโอแทนการให้พนักงานขึ้นเครื่องบินไปร่วมการประชุม


  • 4. คิดก่อนจะซื้อสิ่งของ เพราะการผลิตและการขนส่งสินค้าเกือบทุกชนิดล้วนแต่ใช้พลังงานทั้งสิ้น ก่อนจะซื้ออะไรลองถามตัวเองว่า สิ่งนั้นจำเป็นเพียงใด หรือลองเปลี่ยนจากการซื้อของใหม่เป็นการซ่อมหรือใช้ของมือสองแทน


  • 5. ลดการกินทิ้งกินขว้าง เพราะเศษอาหาร และของที่บูดเน่า เมื่อไปทับถมอยู่ที่กองขยะจะกลายเป็นแหล่งผลิตก๊าซมีเทน ซึ่งเป็นก๊าซเรือนกระจกที่สำคัญอีกตัวหนึ่ง

  • 6. บริโภคของที่ผลิตในประเทศ เพราะการซื้อสินค้าจากต่างประเทศย่อมต้องสิ้นเปลืองพลังงานในการขนส่ง การกินอาหารท้องถิ่น จึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจกว่า เช่นหันมากินปลาทูแทนปลาแซลมอน เพราะนอกจากราคาถูก และทำให้เงินทองไม่รั่วไหลออกนอกประเทศแล้ว ยังช่วยลดภาวะโลกร้อนได้อีกด้วย


  • 7. พกขวดน้ำติดตัวไปด้วยระหว่างการเดินทาง ขวดน้ำพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวสิ้นเปลืองพลังงานในการผลิตมหาศาล แถมยังทำให้เกิดขยะล้นโลก และในการกำจัดขยะก็ต้องใช้พลังงานอีกต่างหาก


  • 8. หลีกเลี่ยงการใช้ถุงพลาสติก เพราะการผลิตถุงพลาสติกใช้พลังงานอย่างมหาศาล ถ้าให้ดีนำถุงผ้าจากบ้านติดตัวไปด้วยเวลาซื้อของตามร้านค้า หากไม่จำเป็นควรบอกพนักงานขายว่าไม่เอาถุงพลาสติก เพราะเมื่อนำกลับบ้านแล้วคนส่วนใหญ่จะทิ้งลงถังขยะ ในประเทศสหรัฐอเมริกาใช้ถุงพลาสติกที่ใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้ง ถึงปีละ ๑ แสนล้านใบ


  • 9. ประหยัดการใช้กระดาษ อุตสาหกรรมการผลิตกระดาษ ใช้พลังงานมากเป็นอันดับ ๔ ทั้งยังก่อมลพิษทางน้ำ เป็นต้นเหตุของการทำลายป่าไม้ ซึ่งเป็นตัวดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่สำคัญด้วย

  • 10. สนับสนุนการซื้อสินค้าจากบริษัทผู้ผลิต ที่สนใจปัญหาสิ่งแวดล้อม หรือลงทุนซื้อหุ้นในบริษัท ที่มีส่วนในการรักษาสิ่งแวดล้อม เพื่อเป็นกำลังใจให้แก่ผู้ผลิต ที่อยากมีส่วนในการปกป้องโลก และเลิกสนับสนุนสินค้า ของบริษัทที่ก่อมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม

วันอังคาร

.... 10 อันดับ สัตว์ที่มีอายุ ยืนที่สุดในโลก ....

มีใครรู้ไหมครับว่า 10 อันดับ สัตว์ที่มีอายุ ยืนที่สุดในโลก นั้นมีอะไรบ้างเอ๋ย....
มาดูอันดับ 10ก่อนนะคับแล้วค่อยไล่ลงไปจนถึงอันดับที่ 1

  • อันดับที่ 10 คือ "ลิง" ญาติห่างๆ ของมนุษย์ ซึ่งโดยทั่วไปแล้วลิงจะมีอายุเฉลี่ย 25 ปี เจี้ยกๆ

  • อันดับที่ 9 ได้แก่ "ช้าง" ซึ่งมีอายุเฉลี่ย 60 ปี โดยจะขึ้นอยู่กับการดูแล อาหารการกินและความเครียด ทั้งนี้ นักวิทยาศาสตร์ได้เปรียบเทียบอายุขัยระหว่างช้างเอเชียและช้างแอฟริกาแล้วพบว่า ช้างแอฟริกาที่ต้องผจญกับสัตว์ป่านานาชนิดและอาหารการกินที่ขัดสนกว่า ทำให้พวกมันเครียดและมีอายุขัยน้อยกว่าช้างเอเชีย อย่างไรก็ดี มีบันทึกว่าประเทศญี่ปุ่นเคยมีช้างที่มีอายุมากที่สุดในโลกคือ 86 ปี



  • อันดับที่ 8 คือสัตว์ที่ไม่มีใครอยากให้มันมีชีวิตที่ยืนยาวนัก เพราะมันมักได้รับบทตัวร้ายในละครเสมอๆ นั่นคือ "อีกา" นั่นเอง ด้วยเหตุผลที่อีกาจะมีคู่เพียงตัวเดียวตลอดอายุขัย ทำให้มันไม่เหนื่อยล้าจนเกินไป นอกจากนี้ การสืบพันธุ์ยังเป็นตัวกำนันนาฬิกาชีวภาพให้หมุนเร็วขึ้นด้วย อีกาจึงมีอายุขัยสูงถึง 90 ปี ซึ่งพบอีกว่านกหลายๆ ชนิดก็มีอายุที่ยืนยาวไม่ต่างจากอีกามากนัก เช่น นกกระตั้ว

  • อันดับที่ 7 คือ "กุ้งก้ามกราม" ด้วยอายุขัย100 ปี ถือว่าอายุยืนที่สุดในสัตว์จำพวกมีเปลือกแข็งด้วยกัน ด้วยเหตุผลที่มันมีการเคลื่อนไหวและเผาผลาญพลังงานน้อย
  • อันดับที่ 6 คือ "หอยมุกน้ำจืด" ด้วยพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่เผาผลาญพลังงานน้อย กินน้อย ใช้ก๊าซออกซิเจนในการหายใจน้อย ทำให้มันสามารถคว้าอันดับ 6 มาครองได้ ด้วยอายุขัยมากกว่า 110 ปี เลยทีเดียว


  • อันดับที่ 5 คือ มนุษย์เรานี่เอง โดยมีอายุขัยสูงสุด 120 ปี ซึ่งสอดคล้องกับความเชื่อที่จารึกไว้ในคัมภีร์ศาสนาคริสต์และฮินดูที่ว่า มนุษย์จะมีอายุขัยได้ไม่เกิน 120 ปี อย่างไรก็ตามระยะหลังมานี้ มนุษย์มีแนวโน้มที่จะมีอายุทะลุ 100 ปีมากขึ้นเรื่อยๆ เคล็ดลับการมีอายุยืนของผู้เฒ่าผู้แก่ทั้งหลายล้วนระบุตรงกันถึงการบริโภคอย่างพอดี การออกกำลังกายแต่พอดี ไม่ใช้ร่างกายอย่างหักโหมและมีทัศนคติที่ดี


  • อันดับที่ 4 ตกเป็นของปลาโบราณร่วมยุคกับไดโนเสาร์ที่มีไข่ที่เอร็ดอร่อยที่สุดในโลก นั่นคือ "ปลาสเตอร์เจียน" ซึ่งนักวิทยาศาสตร์พบว่า มันสามารถมีอายุได้สูงถึง 150 ปีทีเดียว โดยคาดกันว่าน่าจะเป็นผลมาจากยีนอายุยืนที่พิสูจน์แล้วมามีอยู่จริงของมัน


  • อันดับที่ 3 ตกเป็นของพี่เบิ้มสิ่งมีชีวิตนั่นคือ "ปลาวาฬออร์ก้าในทวีปแอนตาร์กติก" ด้วยอายุขัย 200 ปี

  • อันดับที่ 2 คือ"เต่า" ถือเป็นสิ่งมีชีวิตอายุยืนอันดับ 2 ที่มีอายุขัยประมาณ 250 ปี โดยเต่าที่มีอายุยืนที่สุดในโลกขณะนี้คือ "เต่ากาลาปากอส" ที่มีชื่อว่า "แฮเรียน" ตัวเดียวกันกับที่ "ชาร์ลส์ ดาร์วิน" นักวิทยาศาสตร์ชื่อก้อง จับมันมาใช้ชีวิตเมืองเมื่อหลายสิบปีก่อน โดยชาร์ลสเองก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า สิ่งมีชีวิตชนิดนี้มีอายุยืนกว่าเขาเองเสียอีก โดยสาเหตุที่เชื่อว่าเต่ามีอายุยืนยาว สืบเนื่องจากการเคลื่อนไหวที่เนิบช้า และความไม่เดือดเนื้อร้อนใจใดๆ นั่นเอง
  • อันดับที่ 1 จะเป็นของใครไปไม่ได้เลย นอกจากสิ่งมีชีวิตที่ใช้ชีวิตดำดิ่งอยู่ก้นมหาสมุทรอันมืดมิดด้วยอุณหภูมิเย็นเฉียบ มันคือ "ฟองน้ำยักษ์" ซึ่งมีอายุสูงอย่างไม่น่าเชื่อถึง 10,000 ปี หรืออาจกล่าวว่า มันเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่มีวันตายก็ได้ และเมื่อถามถึงปัจจัยที่ทำให้ฟองน้ำยักษ์มีอายุยืนที่สุดในโลก หลายคนอาจเบนหน้าหนีด้วยที่ว่า มันแทบไม่กินและไม่กระดุกระดิกเลย จนนักวิทยาศาสตร์ถึงกับแซวมันว่า หากมนุษย์ต้องการที่จะมีอายุยืนต้องอยู่ใต้ก้นมหาสมุทร ไม่กินอาหารและอยู่นิ่งๆ เหมือนโดนสต๊าฟไว้แล้ว ก็เชื่อว่าคงไม่มีใครอยากอายุยืนเหมือนมันอย่างแน่นอน

.... ปริศนาภาพวาดโมนา ลิซ่า ....



โมนา ลิซ่า (Mona Lisa)
  • กว่า 500 ปีมากแล้วกับคำถามที่ว่า โมนา ลิซ่า (Mona Lisa) นั่นเป็นใคร ซึ่งยังเป็นปริศนา และยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจนและแน่นอน ว่าบุคคลในภาพเขียนของ ลีโอนาร์โด ดา วินซี่ (Leonardo da vin Ci 1452-1519) คือใครกันแน่ ภาพนี้วาดขึ้นราวๆ ค.ศ. 1503-1506 โดยแฝงรอยยิ้มที่ลึกลับ น่าเคลือบแคลง ไปด้วยปริศนามากมายลงบนใบหน้าของ โมนา ลิซ่า ให้ผู้คนได้นึกคิด จินตนาการกันไปต่างๆ นานา ยาวนานถึง 5 ศตวรรษ จวบจนกระทั่งปัจจุบัน คำถามที่ผู้คนสงสัย และได้ค้นคว้าหาคำตอบกันอย่างมากมาย ก็คือ โมนา ลิซ่า คือใคร?


  • ตามคำบอกเล่าของ "จิออร์โอ วาซารี" (Giorgio Vasari 1511-1574) จิตรกร สถาปนิก และ ผู้เขียนหนังสือเกี่ยวกับศิลปะในสมัยนั้น เขากล่าวไว้ว่า โมนา ลิซ่า ก็คือภรรยาของ ฟรานเชสโก เดล จิโอกอนโด ซึ่งเป็นพ่อค้าไหมที่มั่งคั่งแห่ง เมืองฟลอเรนซ์ ขณะที่ ดาวินซี่ เขียนภาพนี้ซึ่งได้ใช้เวลานานถึง 4 ปี เขาได้ไปว่าจ้าง นักร้อง นักดนตรี และตัวตลกมาให้ความบันเทิงแก่หญิงงามผู้เป็นแบบของ ภาพเขียน เพื่อให้เธอมีรอยยิ้มที่ปราศจากความเศร้าหมอง อย่างไรก็ตามจากคำ บรรยายของ วาซารี ก็เป็นเพียงข้อมูลจากผู้ที่ไม่เคยเห็นภาพเขียนนี้ของ ลีโอนาร์โด แต่อย่างใด


  • จากหลักฐานอีกแหล่งหนึ่งจาก "อันโตนิโอ เดอ เบอาทิส" ผู้บันทึกปากคำของ ลีโอนาร์โดใน ค.ศ. 1517 ว่าผู้เป็นแบบในภาพคือสตรีชาว ฟลอเรนซ์ และ จูลีอาโน เดอ เมดิซี่ เป็นผู้ว่าจ้างให้เขียนภาพนี้ จากการที่ ไม่มีหลักฐานปรากฎที่แน่ชัดว่า ใครเป็นแบบให้กับ ลีโอนาร์โดวาดภาพนี้ จึงทำให้มีการตั้งข้อสันนิษฐานกันไป ต่างๆ นานา ไม่ว่าจะ -เป็น บุคคลใน ภาพอาจเป็น คอนสตันซ่า คาวารอส หรืออาจจะเป็น อิสซาเบลลา เดสเต ผู้อื้อฉาว หรืออาจเป็นภรรยาลับของ จูลีอาโน เดอ เมดิซี่ ทั้งนี้ ก็เพราะได้ปรากฎว่า มีโมนา ลิซ่า (เปลือย) หลายภาพในศตวรรษที่ 16 ซึ่งเป็น ที่โด่งดังมากกับภาพเปลือยของสาวผู้นี้


  • นอกจากนี้จากการที่ลีโอนาร์โดเองมีชื่อที่ถูกกล่าวขานกันว่าเขาเป็นพวก รักร่วมเพศ จึงเกิดการสันนิษฐานว่า โมนา ลิซ่า ไม่ใช่ผู้หญิงแต่เป็นภาพเหมือนจำแลง เพศของเด็กหนุ่มรูปงามคนใดคนหนึ่ง ซึ่งศิลปินมักเลี้ยงไว้ติดสอยห้อยตามในสตูดิโอ บ้างก็มีการนำภาพเหมือนของ ลีโอนาร์โดมามาเปรียบเทียบกับภาพของ โมนา ลิซ่า แล้วก็สรุปเอาดื้อๆว่าภาพเขียนอันลือชื่อนี้แท้ที่จริงคือ ภาพของ ลีโอนาร์โด ดาวิน ซี่ เองที่แปลงกาย แต่งตัวเป็นสตรีเพศ ยิ่งไปกว่านั้นผู้ที่สนับสนุนทฤษีนี้ยังกล่าวเสริม ต่อไปว่า ลายปักขดเชือกที่รอบคอเสื้อของ โมนา ลิซ่า คือลายเซ็นลับของ ดาวินซี่เอง เพราะในภาษาอิตาเลี่ยนคำว่า "ขดเชือก" จะตรงกับคำว่า "วินชีเร่" (Vincire)


  • แม้ว่าบุคคลในภาพ โมนา ลิซ่า ยังเป็นสิ่งที่ถกเถียงกันอยู่ แต่ข้อมูลเกี่ยวกับผู้ครอบครองภาพนี้ยังพอมีข้อมูลอยู่บ้าง นั่นก็คือ เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า ลีโอนาร์โด ไม่ยอมพรากจากภาพเขียนนี้ และเขาได้นำติดตัวพร้อมกับทรัพย์สินสินมีค่าอื่นๆที่เขารัก หวงแหน ออกจากกรุงโรมเมื่อครั้งเดินทางมาที่ฝรั่งเศสเพื่อเป็นศิลปินแห่งราชสำนักของพระเจ้าฟรานซิสที่ 1 (ค.ศ. 1479-1547) ใน ค.ศ. 1517 ด้วยเหตุนี้เอง ผู้ครอบครองภาพ โมนา ลิซ่า คนแรกก็คือกษัตริย์ฝรั่งเศส ซึ่งโปรดให้นำภาพไปประดับที่ห้องสรงในพระราชวัง ฟองแตนโบล แต่เมื่อจักรพรรดินโปเลียนขึ้นครองราชย์ ภาพโมนา ลิซ่า จึงถูกย้ายมาพำนักในห้องพระบรรทม และมีชื่อเรียกอย่าง สนิทสนมว่า "มาดาม ลิซ่า"


  • มุมมอง ทัศนะคติ และ ความคิดเห็นความรู้สึก ต่างๆ ที่มีต่อ Mona Lisa นั้นมีมากมายเหลือเกิน "จูลส์ มิเชอเลต์" ได้พรรณนาไว้ใน หนังสือประวัติศาสตร์ฝรั่งเศสว่า "ภาพเขียนนี้ดึงดูดข้าพเจ้า พรํ่าเรียกข้าพเจ้า รุกรานข้าพเจ้า ซึมซาบเข้าไปในตัวข้าพเจ้า ข้าพเจ้าตรงลิ่วเข้าไปหาโดยไม่รู้สึกตัว ประดุจนกบินดิ่งเข้าไปในปากงูพิษ" นี่คือทัศ-นคติต่อ Mona Lisa ในศตวรรษที่ 16 ที่มองความงามในแบบอุดมคติ แต่มุมมองจากนักวิจารณ์ในศตวรรษที่ 19 กลับมองไปอีกด้านหนึ่ง โดยเฉพาะกลุ่มโรแมนติคส์ที่มองว่า โมนา ลิซ่า เป็นสตรีมรณะ (Femme fatale) หรืออีกนัยหนึ่งคือสตรีผู้ยื่นความตายแก่บุรุษ
  • ลีโอนาร์โด ดา วินซี่ ( Leonardo da vin Ci )
  • อันที่จริงแล้ว ลักษณะรอยยิ้มของ โมนา ลิซ่า ที่มีการตีความไปต่างๆนานานั้น สามารถ พบเห็นได้ในภาพเขียนอื่นๆของ ดาวินซี่ เองเช่น รอยยิ้มที่แฝงความอ่อนโยนและการุณย์ ของเซนต์แอนน์ หรือพระแม่มารี หรือแม้กระทั่งรูปปั้นในยุคโบราณของกรีก ในศตรวรรษที่ 19 มีผู้เห็นว่าภายใต้รอยยิ้มยากที่จะหยั่งลึกของ โมนา ลิซ่า นี้กลับแฝงไว้ด้วย ปริศนาอมตะ แห่งอิสตรี ส่วนนักจิตวิเคราะห์อย่าง ซิกมันด์ ฟรอยด์ (Sigmund freud) ก็ตีความหมายว่า "ลีโอนาร์โดหลงไหลรอยยิ้มของ โมนา ลิซ่า" เพราะมันคือสิ่งที่หลับไหล ภายในจิตใจ และความทรงจำในอดีตของเขาที่ผ่านมานานแล้ว รอยยิ้มนี้ถอดแบบพิมพ์ มาจากคาเตรีนาผู้ที่เป็นมารดา สำหรับนักสุนทรียศาสตร์อย่าง วอลเทอร์ เพเทอร์ (Walter Pater) พรรณนาไว้ว่า "เธอมีอายุแกกว่าหินผาที่ห้อมล้อมเธอ ประดุจหนึ่งปีศาจดูดเลือด เธอได้ตายมาแล้วหลายคราและหยั่งรู้ความลึกลับแห่งหลุมศพ"


  • พอมาถึงต้นศตรวรรษที่ 20 ผู้คนรุ่นใหม่ๆ เกือบที่จะไม่ได้แสดงความคิดเห็น ความรู้สึก และทัศนคติต่อโมนา ลิซ่า เสียแล้ว เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม ค.ศ. 1911 ในเวลา เช้าตรู่ข่าวการโจรกรรมภาพ Mona Lisa ออกจากพิพิธภัณฑ์ลูฟร์ ปรากฎต่อมวลชน ซึ่งกว่าจะค้นพบเธอ และจับกลุมผู้โจรกรรมได้ก็ต้องใช้เวลาถึง 2 ปี ปรากฎว่าคนที่โจร- กรรมโมนา ลิซ่าไป ก็คือคนที่ทำความสะอาดในพิพิธภัณฑ์นั่นเอง สถานที่ค้นพบ โมนา ลิซ่า นั้นก็คือเมือง ฟลอเรนซ์บ้านเกิดของเธอนั่นเอง ในปัจจุบันนี้โมนาลิซ่าได้รับการ ทะนุถนอมเป็นอย่างดี ในตู้กระจกปรับอากาศและกันกระสุน ซึ่งไม่มีใครที่จะสามารถลักพาตัวเธอได้อีกต่อไป มีสิ่งที่น่าสังเกตุก็คือ ตั้งแต่การหายลึกลับของ โมนา ลิซ่าเป็นระยะเวลายาวนานในคราวนั้น มีผู้ที่ไปดูโมนา ลิซ่าบางคนบอกว่า รอยยิ้มของเธอนั้นเปลี่ยนไป โดยที่ตั้งข้อสงสัยว่า เธออาจไม่ใช่ โมนา ลิซ่า ตัวจริง

  • เมื่อปี ค.ศ. 1974 โมนาลิซ่าถูกนำไปแสดงที่กรุง มอสโก และโตเกียว โดยเฉพาะที่ โตเกียวมีผู้คนมาเข้าแถวชมเพื่อยลโฉมเธอถึง 2 ล้านคนในช่วงเวลาแค่ 3 เดือน

วันจันทร์

.... ปริศนาสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา ....



  • เรือเดินทะเลที่หายสาบสูญไปในสามเหลี่ยมเบอร์มิวดานั้น ส่วนมากจะเกิดขึ้นในบริเวณที่เรียกว่า "ทะเลซากัสโซ" และ สาเหตุที่ท้องมหาสมุทรแห่งนี้มีนามว่าทะเลซากัสโซ ก็เพราะอาณาเขตบริเวณแห่งนี้อุดมสมบูรณ์ไปด้วย สาหร่ายทะเลชนิดหนึ่งซึ่งมีชื่อว่า สาหร่ายซากัสซั่ม โดยสาหร่ายชนิดนี้เป็นอุปสรรคต่อการเดินเรืออย่างยิ่ง และเหตุ เหตุการณ์ประหลาดลึกลับทางทะเลต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่โบราณกาล มักจะมีต้นตอมาจาก ทะเลซากัสโซเสียเป็นส่วนมาก ชาวฟีนีเชียนโบราณที่เคยใช้เรือเดินทางผ่านท้องทะเลมหาภัยแห่งนี้มา ตั้งแต่หลายพันปีก่อน ได้บันทึกปรากฏการณ์ประหลาดต่าง ๆ ไว้เป็นจำนวนมาก

  • ท้องทะเลซากัสโซ่ มีอาณาเขตบริเวณกว้างใหญ่อยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของมหาสมุทรแอ๊ตแลนติค บริเวณแห่งนี้จะเต็มไปด้วย สาหร่ายทะเลลอยฟ่องเต็มไปหมด เมื่อตอนที่โคลัมบัสแล่นเรือผ่านท้องทะเลแห่งนี้เป็นครั้งแรก กลาสีเรือต่างตื่นเต้นที่คิดว่าเรือคงแล่นเข้าใกล้ฝั่งแห่งใดแห่งหนึ่งเข้าไปแล้ว แต่แม้จะแล่นเรือต่อไปอีกนาน อาณาเขตของ สาหร่ายแห่งนี้ก็หาหมดลงไปไม่ อีกอย่างหนึ่งที่เป็นสัญลักษณ์ประจำของทะเลซากัสโซ คือ ภูเขาทะเล โดย ภูเขาทะเลก็คือภูเขาที่อยู่ใต้พื้นน้ำ แต่มีส่วนยอดแบนราบโผล่ขึ้นมาเหนือพื้นน้ำเล็กน้อย มองดูคล้ายเกาะ แต่ไม่มีพืชพันธ์ใดๆ นอกจากตระใคร่น้ำเกาะอยู่เท่านั้นทะเลซากัสโซไม่เพียงแต่เป็นท้องทะเลที่เต็มไปด้วยสาหร่ายยากแก่การเดินเรือ เท่านั้น แต่กิตติศัพย์ในความน่าสะพรึงกลัวของมันได้ถูกกล่าวขานกันอยู่เสมอ บ้างก็ให้เชื่อว่าเป็นทะเลแห่งความหายนะ หรือสุสานของเรือเดินสมุทรบ้างก็ว่าเป็นที่สิงสถิตของภูติผีปีศาจทะเล หรือสัตว์ร้ายดึกดำบรรพ์

  • เรื่องราวต่าง ๆ ที่พวกชาวเรือชอบนำมาเล่าสู่กันฟังเกี่ยวกับท้องทะเลจำนวนนับไม่ถ้วนก็คือ เรือจะถูกยึดนิ่งสงบรวมอยู่ในใจกลางของทะเลซากัสโซ่ ตั้งแต่สมัยการการเดินทางโดยทะเลของพวกฟินีเชียน ไวกิ้ง โรมัน หรือแม้แต่เรือต่าง ๆ ในสมัยกลางของยุโรป พวกเหล่านี้เชื่อว่าเรือเหล่านี้ลอยกองรวมกันพร้อมด้วยสมบัติมหาศาลที่บรรทุกอยู่เหตุที่ไม่จมเพราะมีสาหร่ายจำนวนหนาแน่นรองรับอยู่ข้างใต้ มนุษย์ผู้พบท้องทะเลแห่งนี้เป็นพวกแรกเข้าใจว่าจะต้องเป็น พวกฟินีเชียนและพวกคาร์ธายิเนียนโบราณ ก็เพราะเป็นเวลา หลายพันปีแล้วที่พวกนี้เดินทางข้ามมหาสมุทรแอ๊ตแลนติคสู่อเมริกาหลักฐานที่ปรากฏคือ รอยแกะสลักบนแผ่นหินของพวกฟินีเชียน ที่พบอยู่ในประเทศบราซิลขณะนี้ และศิลาจารึกในสุสานฝังศพของ พวกคาร์ธายิเนียน เมื่อราว 500 ปี ก่อนคริศศักราชระบุว่า

    " เหนือท้องทะเลแห่งนี้มีแต่ความอ้างว้างเงียบเหงา คล้ายกับสุสานใหญ่ที่มองจรดขอบฟ้าไปทุกด้าน ไม่มีแรงลม พอที่จะพัดพาเรือให้แล่นไปได้ ใต้พื้นน้ำเต็มไปด้วยสาหร่ายทะเลอย่างหนาทึบ ซึ่งยึดเรือทั้งหลายให้หยุดนิ่งอย่างกับกำลังมหาศาลของหนวดปลาหมึกยักษ์ ท้องทะเลบางแห่งก็ตื้นเขินซึ่งเป็นที่อาศัยของสัตว์ประหลาดมหึมาหลายสิบชนิด และบางครั้งมันก็ว่ายน้ำ เข้ามาทำลายเรือทั้งลำให้กลายเป็นผุยผงไปในพริบตา "


    มาดูความลี้ลับของสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา

  • สามเหลี่ยมเบอร์มิวดาเป็นอาณาบริเวณส่วนหนึ่งของมหาสมุทรแอ็ตแลนติคภาคตะวันตก พื้นที่ทั้งหมดเริ่มจาก ตอนเหนือของเบอร์มิวดาไปถึงตอนใต้ของรัฐฟลอริดา-และจากฟลอริดามุ่งตรงไปทางตะวันออกทำมุมสี่สิบองศากับเส้นรุ้ง ผ่านบาฮามัสและเปอร์โตริโก จากนั้นก็ย้อนเฉียงกลับไปสู่ทางใต้ตอนเหนือของเบอร์มิวดาอีกซึ่งทำให้อาณาบริเวณแห่งนี้ กลายเป็นรูปสามเหลี่ยม และอาณาบริเวณรูปสามเหลี่ยมแห่งนี้เองที่เป็นแหล่งกำเนิด ปรากฏการณ์ อันลี้ลับ มหัศจรรย์ขึ้น ในยุคอวกาศของชาวเรา ในปัจจุบันเป็นสิ่งลึกลับและเหลือเชื่อหากจะบอกท่านว่า เริ่มตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สอง ในปี ค.ศ. 1945 มาจนถึงปัจจุบัน เครื่องบินจำนวนกว่า 100 เครื่อง และเรือเดินสมุทร จำนวนอีกมากหลายได้ หายไปในบรรยากาศ และพื้นทะเลของสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาแห่งนี้โดยไม่มีร่องรอย ชีวิตมนุษย์จำนวนพัน ในระยะเวลากว่า 20 ปีที่ผ่านมา ได้หายไปพร้อมกับ พาหนะโดยไม่มีซากศพ แม้แต่รายเดียว หรือเศษชิ้นส่วนใดๆของเรือ หรือเครื่องบินที่หายไปเหลือให้เห็น การหายสาบสูญของเรือ เครื่องบิน และชีวิตมนุษย์ ในบริเวณดินแดนสามเหลี่ยม เบอร์มิวดายังคงปรากฏอยู่ต่อไป และมีปริมาณเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทั้งๆ ที่ชาติต่างๆ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการสูญเสียเหล่านี้ ต่างก็พยายามดำเนินการค้นคว้า ก็หาสาเหตุแห่งปรากฏการณ์อันประหลาดและลึกลับนี้อย่างเร่งด่วน แต่ก็ไม่มีใคร สามารถบอกสาเหตุ และหาทางป้องกัน จากภัยที่เกิดขึ้นในบริเวณท้องทะเลแห่งนี้ได้ไม่


    เครื่องบินแบบเดียวกับเครื่องบินทั้ง 5 ลำ ของฝูงบินที่ 19 ที่หายสาบสูญไปทั้งฝูง พร้อมทั้งชีวิตนักบินและพลเรือนประจำ เครื่องรวม 14 นาย ในบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 1945



  • อุบัติการณ์ ลึกลับที่ไม่อาจให้คำอธิบายได้ เกี่ยวกับการสาบสูญของเรือเดินสมุทร และ เครื่องบินเป็นจำนวนมาก ในดินแดนแห่งสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาก็ยังคงเกิดขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ได้ขาด จนกระทั่งในปัจจุบัน ทุกครั้งที่ได้รับรายงานการสูญหาย หน่วยยามฝั่งที่เจ็ด ของกองทัพเรือสหรัฐ จะทำการค้นหาร่องรอยอย่างละเอียดละออ แต่ก็ประสบความ ล้มเหลวที่จะพบพยานหลักฐานซึ่งจะนำไปสู่การไขปัญหาลึกลับนี้ได้ทุกครั้ง และในที่สุดกองทัพเรือสหรัฐก็ได้เก็บเรื่องเหล่านี ้ไว้เป็นความลับ ไม่ยอมเปิดเผยหรือให้คำวิจารณ์ใดๆ แก่ประชาชน ที่อยากรู้อยากเห็นว่า อุบัติการณ์ ลึกลับเหล่านั้น เกี่ยวข้องกับความอาถรรพ์ของดินแดนแห่งสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาหรือไม่ แต่ทั้งๆ ที่กองทัพเรือสหรัฐพยา-ยามจะปกปิด เรื่องราวเหล่านี้ไว้ ประชาชนทั่วไปก็เริ่มรู้ระแคะระคาย ต่างๆ และเชื่อว่า จะต้องมีแรงอาถรรพ์ หรือพลังอำนาจอันลึกลับ อย่างหนึ่งอย่างใด ภายในบริเวณ สามเหลี่ยมเบอร์มิวดาอย่างแน่นอน และยิ่งปรากฏว่าเมื่อเร็วๆนี้ได้มีข่าวรายงานว่ามีนักบิน และนักเดินเรือบางคนได้รอดชีวิตมาจากปรากฏการณ์สยองขวัญ ในดินแดนของสาม -เหลี่ยมเบอร์มิวดา จึงทำให้ เกิดการฮือฮากันใหญ่ในขณะนี้ แต่อย่างไรก็ดีจวบจนกระทั่งบัดนี้หาได้มีผู้ใดที่สามารถให้คำอธิบายแจ่มชัด เกี่ยวแก่ความลึกลับ และความอาถรรพ์ของสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาได้ และการสาบสูญ ก็ยังคงปรากฏอยู่ต่อไป โดยไม่มีทางป้องกันหรือขัดขวางได้

    มาวิเคราะห์สิ่งที่เกิดขึ้นด้วยหลักการกันนะครับ

  • ในบางกรณี หากวิเคราะห์ด้วยเหตุผลเกี่ยวกับการหาบสาบสูญของเรือเดินสมุทรและเครื่องบินในบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา จะพบว่าหาเป็นเรื่องประหลาดลึกลับแต่อย่างใดไม่เพราะเครื่องบินแต่ละลำ เมื่อนำไปเปรียบเทียบกับความกว้างใหญ่สุดคณานับของพื้นมหาสมุทรโลกแล้ว ก็เปรียบเสมือนฝุ่นละอองที่ล่องลอย อยู่ในห้องโถงใหญ่ น้ำในมหาสมุทรก็ไม่ได้หยุดนิ่งอยู่กับที่ แต่มีการเคลื่อนไหว กระแสน้ำอุ่นกัลฟ์สตรีม มีอัตราความเร็วกว่าสี่ไมล์ต่อชั่วโมง

  • เครื่องบินแบบ kc 135 ของกองทัพอากาศสหรัฐได้หายไป 2 เครื่องในเวลาเดียวกันเมื่อเดิน สิงหาคม 1963

  • ในท้องทะเลนอกฝั่งบาฮามัสมีสิ่งแปลกประหลาดอยู่สิ่งหนึ่งที่นักประดาน้ำ มักจะพบเห็นอยู่บ่อย ๆซึ่งพวกเขาเรียกว่า "ปล่องน้ำเงิน" จะปรากฏอยู่ตามหุบผาใต้น้ำและ -แหล่งหินประการัง มีลักษณะเป็นอุโมงค์หรือปล่องใต้ทะเล โดยทั่วไปเป็นที่อยู่ของปลาที่ไม่ค่อยได้พบกันที่ผิวน้ำ ปล่องเหล่านี้เชื่อว่า เกิดจากถ้ำหินประการังถูกกัดกร่อนด้วย -กระแสน้ำใต้ทะเลมาเป็นเวลานับหมื่นปี เคยมีนักประดาน้ำดำลงไป สำรวจปล่องต่างๆ นี้ พบว่าปล่องจำนวนมากต่างมีทางแยกออกไปในหลายทิศทาง ทำให้ปลาที่ว่ายวนอยู่ในนั้นเกิดสับสนถึงกับว่ายเอาครีบท้องขึ้นสู่เบื้องบน ยิ่งกว่านั้นยังพบว่ากระแสน้ำไหลเชี่ยวแรงเข้าสู่ส่วนลึกคล้ายถูกดูดด้วยกำลังอันมหาศาลซึ่งเป็นอันตราย ต่อนักประดาน้ำมาก และลักษณะการณ์เช่นนี้ทำให้น้ำบริเวณปากปล่องไหลวนเข้าไปภายในอย่างรวดเร็ว ก่อให้เกิดการหมุนเป็นกรวยเหนือพื้นน้ำในลักษณะของวังน้ำวน ซึ่งสามารถจะดึงดูดเรือเล็กพร้อมด้วยคนบนเรือ ลงสู่ก้นอย่างรวดเร็ว

  • อีกทฤษฏีหนึ่ง เป็นทฤษฏีเกี่ยวกับลมพายุทอนาโดซึ่งเกิดเป็นครั้งคราว จะกวาดเรือและเครื่องบิน ให้จมลงสู่ก้นมหาสมุทรได้ไม่ยาก พายุทอร์นาโดเป็นพายุหมุนปั่นเอาน้ำทะเลหมุนเป็นเกลียวสูงนับร้อยๆ ฟุตกลางอากาศและหากมันเกิดตอนกลางคืน เครื่องบินที่บินอยู่ระดับต่ำอาจถูกกระแทกตกลงสู่ทะเลได้ ก็เพราะนักบินไม่สามารถจะมองเห็นได้ในระยะไกล ส่วนเรือเดินสมุทรขนาดใหญ่ที่จมหายนั้น เชื่อว่าอาจจะเกิดจากกระแสคลื่นมหึมา ที่เป็นผลมาจากแผ่นดินไหวใต้ทะเลก็ได้ เพราะคลื่นที่เกิดจากปรากฏการณ์เช่นนี้จะมีความสูงร่วมร้อยฟุตเลยที่เดียว


  • ปรากฏการณ์อย่างหนึ่งที่อาจเป็นอันตรายต่อเครื่องบินได้ คือ การผันแปรของอากาศอย่างทันทีทันใด ที่เรียกกันว่า "แค๊ท (Cat - clear air turbulenec)" โดยทั่วไปแล้ว "แค๊ท" จะเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่อาจจะคาดคะเน หรือทำการพยากรณ์ได้เช่นเดียวกับลักษณะภูมิอากาศ โดยทั่วไปมันจะเกิดขึ้นได้ทุกเวลาและทุกสภาวะอากาศ สาเหตุของปรากฏการณ์นี้ยังไม่ทราบกันแน่ชัด แต่เชื่อกันว่าหากมันเกิดขึ้นขณะที่กระแสลมพัดแรงและรวดเร็ว จะทำให้เกิดสูญญากาศบริเวณนั้นทันที ซึ่งหากเครื่องบินได้บินเข้าสู่บริเวณของมันก็อาจจะตกดิ่งสู่ทะเลได้ง่าย แต่อย่างไรก็ดี การผันแปรวิปริตของบรรยากาศทันทีทันใดในลักษณะเช่นนี้นั้น จะต้องไม่ใช่สาเหตุการหายสาบสูญ ของเครื่องบินทุกลำใน-บริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาเป็นแน่ เพราะปรากฏการณ์ "แค๊ท" จะไม่เป็นผลต่อการทำงานของเครื่องวัดต่างๆ และระบบการติดต่อทางวิทยุบนเครื่องบิน แต่ทุกครั้งที่เกิดเหตุ จะปรากฏว่าการติดต่อทางวิทยุได้เงียบหายไป

  • การแปรผันของสนามแม่เหล็กโลก ก็อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เครื่องบินตกได้เช่นเดียวกัน เพราะมันจะทำให้เกิดการผิดพลาดในการทำงานของเครื่องวัดระดับ และเข็มทิศประจำเครื่อง ในกรณีเช่นนี้นักบินไม่มีความสามารถพอก็อาจจะนำเครื่องบินดิ่งลงสู่มหาสมุทรได้ ยิ่งกว่านั้นปรากฏการณ์ต่างๆ ทางธรรมชาติอีกมากมายที่เราไม่อาจจะอธิบาย-หรือทราบสาเหตุของมันได้

วันอาทิตย์

.... กีฬาโอลิมปิก ....

ประวัติโดยทั่วไป

  • กีฬาโอลิมปิกมีกำเนิดมาเป็นเวลานานมากแล้ว โดยได้มีการบันทึกถึงโอลิมปิกครั้งแรกว่าเกิดในปี 776 B.C. และได้มาสิ้นสุดลงในปี 393 A.D. เมื่อจักรพรรดิ์โรมันที่ชื่อ Theodosius ได้ประกาศยกเลิกกีฬาโอลิมปิก ซึ่งในสมัยนั้นกีฬาโอลิมปิกได้กำเนิดขึ้นที่ เมืองโอลิมเปีย ประเทศกรีก ซึ่งกีฬาโอลิมปิกนั้นเป็นกีฬาที่จัดขึ้นเพื่อบูชาเทพเจ้า ดังนั้นหากจะเกิดสงครามก็ต้องยุติสงครามไว้ก่อน เพราะหากพิธีนี้ล้มเลิกเชื่อกันว่าจะทำให้เทพเจ้าทรงพิโรธเอา และก็ผู้ที่ชนะในสมัยนั้น ก็ใช่ว่าจะได้รับรางวัลเป็นเหรียญทองเหมือนในสมัยนี้ แต่จะได้รับรางวัลเป็น แอปเปิ้ล หรือ มงกุฏมะกอก หรือ มงกุฏทำจากใบลอเรล ซึ่งจะได้รางวัลชนิดไหนก็แล้วแต่ยุคสมัย
  • จนกระทั่งปี 1892 นักศึกษาชาวฝรั่งเศส Pierrre de Coubertin ก็ได้ฟื้นฟูกีฬาโอลิมปิกขึ้นมาใหม่ แนวความคิดของ Coubertin เกี่ยวกับการรื้อฟื้นกีฬาโอลิมปิกนี้ได้ก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างขึ้นเมื่อมีการประชุมสหภาพกีฬาสมัครเล่น แนวความคิดเกี่ยวกับกีฬาได้กระจายออกไปทั่วยุโรป และในที่สุดในปี 1894 แนวคิดเรื่องกีฬาโอลิมปิกสากลก็ได้เป็นความจริงขึ้นมา
  • ในปี 1896 ผู้แทนกีฬาจากหลายประเทศได้เดินทางมาร่วมการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกสากลแนวใหม่ในครั้งนี้ Coubertain รวมทั้งได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการโอลิม-ปิกและจัดการแข่งขัน ในการรื้อฟื้นกีฬาโอลิมปิกขึ้นมาใหม่ครั้งนี้ ได้พยายามให้ทุกคนเห็นความสำคัญการมีส่วนร่วม สิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตของคนไม่ใช่การชัยชนะแต่เป็นการต่อสู้ เพราะฉะนั้นมนุษย์จึงควรมีวิธีการที่ถูกต้องในการต่อสู้มีความเป็นนักกีฬา ซึ่งแนวความคิดของ Coubertin ได้ถูกพิสูจน์มาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นการบอยคอตการคด-โกงในการแข่งขันด้วยวิธีการต่างๆ ความโลภมากของผู้ที่เกี่ยวข้อง

ลองมาดูวิวัฒนาการของ Modern Olympic ปี 1896-2004 ก่อนนะครับ

  • ปี 1896, Athens
    กีฬาโอลิมปิกสมัยใหม่นั้นได้ถูกจัดขึ้นเป็นครั้งแรกในปี 1896 หลังจากที่การแข่งขันกีฬาโอลิมปิกได้หยุดไปเป็นเวลานาน โดยจัดขึ้นที่กรุง Athens ประเทศกรีกที่สนามกีฬา Olympic Stadium ซึ่งได้ถูกทำลายไปโดยทหารฝรั่งเศส การแข่งขันครั้งนี้นับว่าเป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ของกรีกไม่ใช่แค่เพียงได้เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกครั้งนี้เท่านั้นแต่เพราะนักกีฬาชาติกรีกได้นำชัยชนะมาให้กรีกเป็นผู้ชนะเลิศในการแข่งขันวิ่งมาราธอนซึ่งถือเป็นกีฬาสัญลักษณ์ของโอลิมปิก ในครั้งนี้กรีกเป็นผู้ชนะเลิศในการแข่งขันทั้งหมด คือได้เหรียญรางวัลชนะเลิศถึง 47 เหรียญ
  • ปี 1900, Paris
    จริงๆแล้วได้มีความพยายามที่จะให้มีการจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกขึ้นในกรีกเพียงแห่งเดียวเท่านั้น แต่ Coubertin วึ่งเป็นผู้ให้กำเนิดกีฬาโอลิมปิกสมัยใหม่ขึ้นได้ยืนยันเจตนารมณ์เดิมที่จะให้มีการแข่งขันเวียนไปตามประเทศต่างๆที่มีส่วนร่วมการแข่งขันกีฬา การแข่งขันในครั้งนี้ชัยชนะในการแข่งขันในกีฬาประเภทต่างๆ กระจายกันไปอยู่ในหมู่นักกีฬาจากประเทศต่างๆ
  • 1904, St.Louis
    มีนักกีฬาจากประเทศในยุโรปมาร่วมการแข่งขันในครั้งนี้น้อยมากเนื่องจากความไม่สะดวกในการเดินทาง นักกีฬาจากสหรัฐอเมริกาจึงได้ครอบครองเหรียญชัยชนะมากที่สุด กีฬาโอลิมปิกในครั้งนี้จัดว่าเป็นครั้งที่น่าอดสูที่สุด เริ่มจากการแย่งกันระหว่าง St.Louis และ Chicago ว่ารัฐใดจะได้เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขัน นอกจากนั้นนักกีฬาผู้ที่ได้เข้าเส้นชัยในการแข่งขันวิ่งมาราธอนยังใช้วิธีการสกปรกในการได้มาซึ่งชัยชนะครั้งนั้นด้วยการแอบโดยสารรถบรรทุกระหว่างการแข่งขันเพื่อย่นระยะทาง
  • ปี 1908, London
    การแข่งขันกีฬาครั้งที่ 4 มีขึ้นที่กรุงลอนดอน โดยจัดการแข่งขันขึ้นระหว่างเดือนเมษายนถึงเดือนตุลาคม ผู้นำในการแข่งขันครั้งนี้ได้แก่ประเทศอังกฤษ โดยสามารถครอบครองเหรียญชัยได้ถึง 145 เหรียญโดยมีสหรัฐอเมริกาตามมาเป็นอันดับที่ 2 การแข่งขันครั้งนี้มีนักกีฬาเข้าร่วมการแข่งขันทั้งหมด 2,036 คน เป็นชายประมาณ 2,000 คน หญิง 36 คน และการแข่งขันครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ผู้ชนะจากการแข่งขันในแต่ละประเภทได้รับเหรียญทอง ซึ่งก่อนหน้านี้ผู้ชนะเลิศจะได้รับเหรียญเงิน
  • ปี 1912, Stockholm
    ในครั้งนี้ King Gustav ที่ 5 แห่งสวีเดนได้ทรงตรัสยกย่อง Jim Thorpe นักกีฬาจากสหรัฐอเมริกาว่าเป็นนักกีฬาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งคำยกย่องนั้นเป็นสิ่งที่ไม่เกินความจริงเลย โดยเขาชนะเลิศการแข่งขันกีฬาลู่-ลาน 5 ประเภท (Pentathalon) รวมทั้งชนะเลิศการแข่งขันกีฬาลู่-ลาน 10 ประเภท (Decathalon) ด้วย ซึ่งได้ทำให้ Thorpe ได้กลายเป็นดาวของกีฬาโอลิมปิกจากสหรัฐอเมริกาอย่างแท้จริง แต่ต่อมา Thorpe ได้ถูกยึดเหรียญชัยชนะคืนมาหลังจากที่ IOC พบว่าเขาอยู่ในทีมนักเบสบอลอาชีพในปี 1909 แต่หลังจากนั้นต่อมาถึง 73 ปี Thorpe ก็ได้รับเหรียญรางวัลกลับคืนมาด้วยความสนับสนุนของผู้ที่นิยมและเห็นอกเห็นใจ Thorpe แต่ก็หลังจากที่เขาได้เสียชีวิตไปแล้ว
  • ปี 1916- ไม่มีการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกเนื่องจากเกิดสงครามโลกครั้งที่ 1
  • ปี 1920,Antwerp
    ได้มีการกำหนดสัญลักษณ์ของกีฬาโอลิมปิกขึ้นใหม่ในรูปห่วงสี 5 ห่วงคล้องกันอยู่ (Olympic Rings) ที่บ่งชี้ว่าเป็นโลกของเรา โดยมีความหมายถึงความสามัคคีกันของมวลมนุษยชาติ และความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ซึ่งกีฬาโอลิมปิกในครั้งนี้ไม่สามารถที่กล่าวได้ว่าเป็นกีฬานานาชาติอย่างแท้จริงเนื่องจากได้กีดกันไม่ให้ประเทศผู้แพ้สงครามโลกครั้งที่ 1 เข้ามาร่วมการแข่งขันด้วย ดาวรุ่งกีฬาครั้งนี้คือ Paavo Nurmi ซึ่งครองชัยชนะการวิ่งระยะไกลทั้งหมดมีผู้เข้าร่วมการแข่งขันที่ Antwerp เป็นชาย 2,453 คน หญิง 64 คน

  • ปี 1924, Paris
    การแข่งขันที่ปารีสครั้งนี้ Harold Abrahans นักกีฬาจากประเทศอังกฤษชนะเลิศการวิ่ง 100 เมตร แต่ในภายหลังได้พบว่า Abrahans ใช้ยาที่ชื่อว่า Easton Syrup ซึ่งมีส่วนผสมของสตริกไนน์ และเขาไม่ได้รับชัยชนะในครั้งนี้หากมีการตรวจพบว่า Abrahans ใช้ยา

  • ปี 1928, Amsterdam
    เป็นครั้งแรกที่ IOC ได้ทำการย่นระยะเวลาการแข่งขันกีฬาโอลิมปิคลงเหลือเพียง 16 วัน ก่อนหน้านั้นการแข่งขันจะกินเวลาเป็นเดือน การแข่งขันครั้งนี้ประเทศที่เป็นเจ้าภาพมีความหวังที่จะได้ชัยชนะในกีฬา Soccer แต่ก็ต้องพลาดหวังเมื่ออุรุกวัยและอาร์เจนตินาได้เข้าร่วมชิงชนะเลิศ paavo Nurmi ได้รับการยกย่องเป็นเจ้าแห่งการแข่งขันวิ่งระยะไกลอีกครั้งหนึ่ง ส่วนสหรัฐอเมริกาได้ครองเหรียญทองเป็นจำนวนมากมาจาการแข่งขันว่ายน้ำ โอลิมปิคครั้งนี้มีประเทศที่เริ่มฉายแววทางกีฬาเพิ่มขึ้นมาคือ ญี่ปุ่น นอกจากนี้ในปีนี้ยังเป็นปีแรกที่มีการจัดการแข่งขันประเภทลู่ลาน หญิงเป็นครั้งแรก

  • ปี 1932, Los Angeles
    Los Angeles มีเวลาในการเตรียมความพร้อมในการจัดการแข่งขันในครั้งนี้ถึง 9 ปี ได้ทำการก่อสร้าง Coliseum ขนาด 100,000 ที่นั่ง ซึ่งในปี 1984 ก็ได้ใช้ที่แห่งนี้เป็นที่จัดการแข่งขันอีกครั้งหนึ่ง ปีนี้เป็นปีที่ริเริ่มสิ่งๆใหม่หลายอย่าง อาทิ มีการจัดค่าเดินทางแก่นักกีฬาต่างประเทศที่มาร่วมการแข่งขัน การสร้างหมู่บ้าน Olympic Village นักกีฬาเพื่อนักกีฬาจากหลายประเทศมาอยู่ร่วมกัน

  • ปี 1936, Berlin
    นักกีฬาผิวดำจากประเทศสหรัฐอเมริกาที่ชื่อ Jesse Owens ได้ลบคำสบประมาทของ Adolf Hitler ที่กล่าวว่าชาวเยอรมันเหนือกว่าชาติอื่นในทุกด้าน ด้วยการคว้าเหรียญทองได้ถึง 4 เหรียญ.
  • ปี 1940 & 1944-ไม่มีการแข่งขันกีฬาเนื่องจากเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2
  • ปี 1948, London
    เป็นครั้งที่ 2 ที่มีการถ่ายทอดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิคทางวิทยุทั่วโลกในครั้งนี้ได้มีนักกีฬาจากสหรัฐอเมริกาชื่อ Bob mathias ได้กลายเป็นขวัญใจโดยสามารถครองเหรียญทองจากการแข่งขัน Decathalon ซึ่งจัดว่าเป็นกีฬาที่ยากต้องอาศัยความแข็งแรงและความอดทนอย่างสูง นอกจากนั้นการแข่งขันในครั้งนี้ เยอรมันและญี่ปุ่นผู้พ่ายแพ้ในสงครามโลกครั้งที่ 2 ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมการแข่งขัน
  • ปี 1952, Helsinki
    Emil Zatopek จากเชโกสโลวะเกียได้กลายเป็นดาวเด่นในหมู่นักกีฬาในปี 1952 เมื่อเขาได้ชัยชนะในการแข่งขันวิ่งระยะไกล 10,000 เมตร และ 50,000 เมตร รวมทั้งการแข่งขันวิ่งมาราธอน และภรรยาของเขาก็ได้รับเหรียญทองจากการแข่งขันพุ่งแหลน ซึ่งครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่สหภาพโซเวียตได้เข้าร่วมการแข่งขันกีฬาโอลิมปิครวมทั้งประเทศไทยก็เข้าร่วมการแข่งขันเป็นครั้งแรกเช่นกัน


  • ปี 1956, Melbourn
    การแข่งขันครั้งนี้ประเทศที่พิชิตเหรียญทองกีฬาว่ายน้ำได้มากที่สุดคือ ออสเตรเลีย โดยมี Dawn Fraser นักว่ายน้ำหญิงเป็นผู้ได้รับการกล่าวขวัญถึงมากที่สุดเพราะนอกจากพิชิตเหรียญทองได้แล้วยังสร้างสถิติเวลาใหม่และไม่มีผู้ใดทำลายได้ถึง 15 ปี
  • ปี 1960, Rome
    Cassius Clay นักมวยจากสหรัฐอเมริกาผู้ชนะเลิศการแข่งขันชกมวยในกีฬาโอลิมปิคครั้งที่ 17 การแข่งขันครั้งนี้เป็นการเริ่มต้นของสิ่งใหม่ๆเช่น มีการให้ความสนับสนุนในเรื่องการเดินทางทางอากาศแก่นักกีฬา นักกีฬามีการเตรียมตัวสำหรับการแข่งขันในครั้งนี้มาอย่างเต็มที่นักกีฬาทุกคนให้ความสำคัญในการได้รับชัยชนะในการแข่งขันอย่างเต็มที่ ด้วยเหตุนี้สถิติที่นักกีฬาโอลิมปิคปีก่อนๆทำไว้จึงถูกลบล้างไปเกือบหมด

  • ปี 1964, Tokyo
    ญี่ปุ่นเป็นประเทศแรกในเอเชียที่ได้รับเกียรติให้เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิค การแข่งขันครั้งนี้มีดาวรุ่งเกิดขึ้นหลายราย คนแรกคือ Bob Hayes ซึ่งในภายหลังได้กลายเป็นนักดังในทีม Dallas Cowboys คนต่อมาคือ Joe Frazier ซึ่งชนะเลิศการแข่งขันชกมวยในกีฬาโอลิมปิค และต่อมาได้เป็นแชมเปี้ยนรุ่น Havywieght ของโลก Abebe Bikila จากเอธิโอเปียก็ชนะการวิ่งมาราธอนเป็นครั้งแรก

  • ปี 1968, Mexico City
    การแข่งขันโอลิมปิคมีขึ้นที่ละตินอเมริกาเป็นครั้งแรก โอลิมปิคคราวนี้สหรัฐอเมริกาได้เป็นผู้นำการแข่งขันทั้งหมดมีสถิติใหม่ๆเกิดขึ้นเช่นการแข่งขันวิ่ง 100 เมตร โดย Jim Hines, วิ่ง 400 เมตร โดย Lee Evans จากสหรัฐอเมริกาเช่นกัน
  • ปี 1972, Munich
    โซเวียตมองเห็นช่องทางในการเผยแพร่ลัทธิทางการเมืองของตนโดยอาศัยการแข่งขันโอลิมปิค โดยพยายามที่เป็นผู้นำในการแข่งขัน และโน้มน้าวชาติอื่นๆ ให้เห็นว่า -โซเวียตเป็นประเทศมหาอำนาจ ภายหลังพบว่านักกีฬาโซเวียตเป็นนักกีฬาอาชีพที่รัฐบาลว่าจ้างให้เข้าแข่งขันในกีฬาโอลิมปิคครั้งนั้น และก็ยังพบอีกด้วยว่านักกีฬาจากสหภาพโซเวียตใช้ยาเสริมกำลัง ในปีนั้นสหภาพโซเวียตสามารถพิชิตเหรียญทองได้ถึง 99 เหรียญ นอกจากนั้นยังมีเหตุการณ์ก่อการร้ายขึ้นในกรุงมิวนิค มีความพยายามลักพาตัวนักกีฬาอิสราเอล
  • ปี 1976, Montreal
    สหรัฐอเมริกาโชว์ความสามารถในกีฬาชกมวยด้วยการมีทีมนักกีฬาที่ดีที่สุดได้แก่ Ray Leonard, Leon Spinks โดยสามารถพิชิตเหรียญทองได้และต่อมาได้กลายเป็นแชมเปี้ยนมวยอาชีพ ส่วนในการแข่งขันยิมนาสติก Nadai Comaneci ได้กลายเป็นดาวดวงใหม่ที่ทำให้ผู้คนหันมาให้ความนิยมในกีฬายิมนาสติกขึ้น
  • ปี 1980, Moscow
    สหรัฐอเมริกาไม่เข้าร่วมการแข่งขันในครั้งนี้เนื่องจากกรณีที่สหภาพโซเวียตส่งกองกำลังบุกรุกอัฟกานิสถาน ญี่ปุ่นและเยอรมันตะวันตกก็เป็นอีก 2 ประเทศจากทั้งหมด 63 ประเทศที่บอยคอตสหภาพโซเวียตและไม่เข้าร่วมการแข่งขัน ในปีนั้นจึงมีเพียง 81 ประเทศจากทั่งโลกที่เข้าร่วมการแข่งขัน ซึ่งในปีนั้นสหภาพโซเวียตครองเหรียญทองมากที่สุด

  • ปี 1984, Los Angeles
    สหภาพโวเวียตบอยคอตการแข่งขันในปีนี้ ไม่ส่งนักกีฬาเข้าร่วมการแข่งขัน ส่วนหนึ่งเพื่อแก้คืนที่สหรัฐอเมริกาไม่ส่งนักกีฬาเข้าแข่งขันกีฬาโอลิมปิคครั้งก่อนที่ Mosc- ow ในปี 1980 ส่วนหนึ่งเป็นห่วงความปลอดภัยของนักกีฬาจากประเทศตน แต่บุคคลบางกลุ่มเชื่อว่าสหภาพโซเวียตเกรงว่านักกีฬาของตนจะไม่ผ่าน Drug Test ซึ่งจะทำให้ทั่วโลกรู้ถึงที่มาแห่งชัยชนะทางการกีฬาของตน นักกีฬาที่มีชื่อเสียงจากการแข่งขันในปีนี้ได้แก่ Carl Lewis จากสหรัฐอเมริกาโดยสามารถครอง 4 เหรียญทองจากการแข่งขัน Mary lou Retton ครองเหรียญทองยิมนาสติกมากที่สุด นอกจากนั้นยังมี Greg Louanis ซึ่งเป็นนักกีฬาคนแรกที่สามารถครองเหรียญทอง 2 เหรียญทองพร้อมกันจากการแข่งขัน Springbroad และ Platform diving
  • ปี 1992, Bracelona
    สิ่งที่อยู่ในความทรงจำของผู้คนทั่วไปจากการแข่งขันกีฬาโอลิมปิคในปี 1992 ที่ไม่มีใครปฏิเสธได้แก่ Dream Team ซึ่งในครั้งนั้น Michael Jordan, Magic Jordan, Larry Bird, Charles Barkley, Patrick Ewing, David Robinson, Karl malone และ Scottie เป็นนักบาสเกตบอลที่โดดเด่นมากในทีมสหรัฐ -อเมริกา ทีมบาสเกตบอลสหรัฐอเมริกาในปีนั้นได้เอาชนะคู่ต่อสู้จากประเทศต่างๆได้อย่างราบคาบภายใต้การนำของ Coach Chuck Daly

  • กีฬาโอลิมปิคที่ Bracelona ในปี 1992 ถูกเรียกว่าเป็น Money Game เพราะว่านักกีฬาทั้งชายและหญิงต่างทำการแข่งขันเพื่ออะไรก็ตามที่สามารถทำเงินได้ หรือแม้แต่ Jordan ได้ใช้ธงชาติสหรัฐอเมริกาคลุมป้ายผู้สนับสนุนกีฬาอย่างเป็นทางการของทีมบาสเกตบอลสหรัฐอเมริกาด้วยเหตุผลที่ว่าไม่ใช้เป็นบริษัทผลิตรองเท้ากีฬาที่ใช้ชื่อของเขาในการขายสินค้า

  • ปี 1996,Atlanta
    การแข่งขันโอลิมปิกเกมส์ครั้งที่ 26 ปี 1996 หรือเมื่อ 4 ปีที่แล้ว จัดการแข่งขันที่เมืองแอตแลนต้า ประเทศสหรัฐอเมริกา ระหว่างวันที่ 19 ก.ค.-4 ส.ค. ซึ่งถือเป็นการจัดการแข่งขันที่ยิ่งใหญ่เพราะเป็นการครบรอบ 100 ปีของการจัดโอลิมปิกเกมส์ และได้สร้างสถิติการแข่งขันมากมายไม่ว่าจะเป็นจำนวนนักกีฬา, เจ้าหน้าที่รวมทั้งประเทศที่เข้าร่วมการแข่งขันอีกด้วย
  • สำหรับนักกีฬาไทยที่ส่งไปแข่งขันเมื่อ 4 ปีที่แล้วถือเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่จากการส่งนักกีฬาไป 9 ชนิดกีฬา ซึ่งประเทศไทยนั้นก็ได้ฮีโร่กำปั้นคนแรกในประวัติศาสตร์ "สมรักษ์ คำสิงห์" นักชกรุ่นเฟอเธอร์เวต คว้าเหรียญทองแรกในประวัติศาสตร์ของไทย และว่ากนว่ามีกระแสสมรักษ์ฟรีเวอร์ตามมายาวนานอีกหลายเดือนท่ามกลางความสุขที่แบ่งปันกันไปทุกหนทุกแห่งทั่วฟ้าเมืองไทย

  • ปี 2000, Sydney
    การแข่งขันโอลิมปิกครั้งที่ 27 ปีนี้จัดที่เมืองซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย ระหว่างวันที่ 15 กันยายน - 1 ตุลาคม 2543 ประเทศไทยจะส่งกีฬาเข้าร่วมแข่งขัน 12 สมาคมกีฬา คือ กรีฑา, ยกน้ำหนัก, เรือพาย, เรือใบ, วินด์เซิร์ฟ, ว่ายน้ำ, แบดมินตัน, เทนนิส, เทเบิลเทนนิส, วอลเลย์บอล, ยิงปืน และมวยสากลสมัครเล่น จาก 12 ชนิดกีฬาที่ไทยส่งไปแข่งขันครั้งนี้ มีเพียง 2 ชนิดกีฬาที่มีโอกาสมากที่สุดในการลุ้นเหรียญทอง คือ ยิงปืน (เทวฤทธิ์ มัจฉาชีพ) และมวยสากลสมัครเล่นที่คนส่วนใหญ่ให้น้ำหนักไปที่ สมรักษ์ คำสิงห์ เจ้าของเหรียญทองเมื่อ 4 ปีก่อน
  • ปี 2004, Athens
    การแข่งขันโอลิมปิกครั้งที่ 28 ครั้งนี้ถือเป็นอีกครั้งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมหกรรมการแข่งขันแห่งมวลมนุษยชาติ เนื่องจากเป็นการกลับหวนคืนสู่ต้นกำเนิดของกีฬาโอลิมปิก ซึ่งครั้งนี้จะจัดขึ้นที่กรุงเอเธนส์ ประเทศกรีซ ระหว่างวันที่ 13-29 สิงหาคม 2547 โดยในครั้งนี้ประเทศไทยส่งกีฬาเข้าร่วมแข่งขัน 13 สมาคมกีฬา คือ กรีฑา, แบดมินตัน, ว่ายน้ำ ,ฟันดาบ ,มวยสากล ,ยิงปืน ,เทนนิส ,ขี่ม้า ,ยกน้ำหนัก ,เทเบิลเทนนิส ,เรือพาย ,วินด์เซิร์ฟ และ เทควันโด

ข้อมูลบางส่วนจาก http://www.siamsport.co.th/intro_ad.html

วันเสาร์

.... การสำรวจดาวอังคาร ....

ภาพ 3 มิติที่ได้จากยานสปิริต - ภาพ NASA

  • หลังจากที่องค์การอวกาศยุโรปส่งยานอวกาศที่มีชื่อว่ามาร์สเอกซ์เพรสพร้อมกับยานลูก "บีเกิล 2" ขึ้นสู่อวกาศ องค์การนาซาของสหรัฐฯ ก็ส่งยานอวกาศ 2 ลำ ในภารกิจมาร์สเอกซ์พลอเรชันโรเวอร์ เดินทางออกจากโลกในวันที่ 10 มิถุนายน และ 7 กรกฎาคม ตามลำดับ ยานอวกาศทั้ง 2 ลำของนาซานี้ถูกออกแบบให้ทำหน้าที่ เสมือนนักธรณีวิทยาที่จะสำรวจดินและหินบนดาวอังคาร เพื่อนำไปสู่การศึกษาสภาวะอากาศในอดีตของดาวอังคาร เพื่อตอบคำถามขั้นพื้นฐานว่าดาวอังคารเคยมีสภา ะอากาศที่อบอุ่นเพียงพอที่น้ำจะสามารถคงอยู่ได้บนพื้นผิวนานพอที่สิ่งมีชีวิตแบบง่ายๆ จะถือกำเนิดขึ้นได้หรือไม่

  • ยานมาร์สเอกซ์พลอเรชันโรเวอร์เอ (MER-A) หรือ "สปิริต (Spirit)" มีกำหนดลงแตะพื้นผิวดาวอังคารในวันที่ 4 มกราคม เวลา 11.35 น. ตามเวลาในไทย ขณะที่ยานมาร์สเอกซ์พลอเรชันโรเวอร์บี (MER-B) หรือ "ออปพอร์ทูนิตี (Opportunity)" มีกำหนดลงแตะพื้นผิวดาวอังคารในวันที่ 25 มกราคม เวลา 12.25 น.

  • บริเวณที่ยานสปิริตลงจอดเป็นหลุมอุกกาบาตขนาด 150 กิโลเมตรชื่อว่า "หลุมกูซอฟ (Gusev)" ที่อาจเคยเป็นทะเลสาบมาก่อน ก่อตัวขึ้นจากการพุ่งชนของอุกกาบ- ตเมื่อประมาณ 3,000-4,000 ล้านปีที่แล้ว มีช่องเปิดด้านหนึ่งของหลุมที่เชื่อว่าเป็นช่องทางพากระแสน้ำและน้ำแข็งเข้าสู่หลุม ส่วนบริเวณที่ยานออปพอร์ทู นิตีลงจอดมีชื่อว่า "เมอริดิอานีพลานัม (Meridiani Planum)" ที่ราบที่คาดว่าอาจเป็นบริเวณทับถมของแร่ธาตุที่ก่อตัวขึ้นในสภาวะที่เต็มไปด้วยน้ำในอดีต

ขั้นตอนนำยานลงสู่พื้นผิวดาวอังคาร (ภาพ NASA)


  • นาซาส่งยานอวกาศไปสำรวจดาวอังคารมานับตั้งแต่โครงการมาริเนอร์ในกลางทศวรรษ 1960 และโครงการไวกิงในกลางทศวรรษ 1970 จากนั้นยานมาร์สพาทไฟน์เดอร์ของสหรัฐฯ ก็ลงแต่พื้นผิวดาวอังคารในปี พ.ศ. 2540 ตามด้วยยานมาร์สโกลบัลเซอร์เวเยอร์ และยาน 2001 มาร์สโอดิสซีย์ไปถึงดาวอังคารในปี พ.ศ. 2542 และ 2544
  • สำหรับมาร์สเอกซ์พลอเรชันโรเวอร์ นาซาใช้ระบบการลงจอดแบบเดียวกับที่ใช้ในยานมาร์สพาทไฟน์เดอร์ คือใช้ร่มชูชีพและถุงลมเพื่อชะลอความเร็วของยานขณะลงสู่พื้นผิวดาวอังคารเพื่อหลีกเลี่ยงการพุ่งชน รถหกล้อทั้งสองคันจะลงในตำแหน่งที่ห่างไกลจากกัน และใช้เวลาราว 3 เดือนเพื่อเก็บตัวอย่างดิน โดยเดินทางไปบนดาวอังคารด้วยพลังขับเคลื่อนจากแสงอาทิตย์ นอกจากนี้ยังมีกล้องถ่ายภาพที่สามารถถ่ายภาพสี และอุปกรณ์สำหรับขุดดินบนดาวอังคาร
  • ข้อมูลจากรถสำรวจทั้งสองจะถูกส่งขึ้นไปในรูปของสัญญาณวิทยุไปยังยานมาร์สโกลบัลเซอร์เวเยอร์และยานมาร์สโอดิสซีย์ที่ทำหน้าที่เป็นดาวเทียมโคจรอยู่รอบดาวอังคารในขณะนี้ และส่งต่อมายังโลกเพื่อให้นักวิทยาศาสตร์กำหนดเส้นทางเดินของรถสำรวจทั้งสองในวันต่อๆ ไป คาดว่ารถ 2 คันนี้จะสำรวจพื้นที่รอบๆ จุดลงจอดและออกเดินทางเป็นระยะทางราว 500 เมตรบนพื้นผิวดาวอังคารตลอดภารกิจ
  • ก่อนหน้านี้ เราได้ข้อมูลดาวอังคารเป็นจำนวนมากจากยานอวกาศสองลำที่โคจรอยู่รอบดาวอังคาร ซึ่งได้เผยให้เห็นสภาพภูมิประเทศและองค์ประกอบบนพื้นผิวด้วยความละเอียดสูงอย่างไม่เคยมีมาก่อน รวมทั้งแสดงให้เห็นหุบเขา ที่ราบสูงชัน ร่องธาร และร่องรอยต่างๆ ที่ดูคล้ายภูมิประเทศบนโลก ภาพถ่ายความละเอียดสูงจากยานอวกาศสองลำที่โคจรรอบดาวอังคารในขณะนี้ยังแสดงให้นักวิทยาศาสตร์เห็นว่าหินบนดาวอังคารแบ่งเป็นชั้นๆ ซึ่งดูเหมือนเป็นชั้นของตะกอนที่ถูกกัดเซาะโดยน้ำ หลายคนเชื่อว่าในอดีตดาวอังคารมีบรรยากาศที่หนาแน่นพอที่จะกักความร้อนไว้และทำให้เกิดน้ำบนพื้นดิน หุบเขาขนาดใหญ่หลายแห่งและบริเวณที่ดูเหมือนถูกกัดเซาะนี้น่าจะเกิดขึ้นในช่วงเวลาดังกล่าว นักดาราศาสตร์หวังว่ายานที่ส่งไปยังดาวอังคารทั้งหมดจะช่วยให้เรามีข้อมูลที่ชัดเจนและเข้าใจสภาพทางภูมิศาสตร์ ธรณีวิทยา การมีอยู่ของน้ำ และวิวัฒนาการบนดาวอังคารได้ดียิ่งขึ้น

วันศุกร์

.... มัมมี่ Mummy ....


  • ผู้เขียนเชื่อแน่ว่า คำว่า “มัมมี่” คงเป็นที่คุ้นหูหรือเป็นที่รู้จักกันดีสำหรับท่านผู้อ่านเกือบทุกคน และเป็นศัพท์ที่พูดแล้วก็นึกภาพออกได้ทันทีว่ารูปร่างหน้าตาของมัมมี่เป็นอย่างไร เมื่อนึกถึงมัมมี่ก็มักจะนึกถึงปิรามิด สถาปัตยกรรมอันยิ่งใหญ่แห่งประวัติศาสตร์ที่ตั้งสูงทมึนอยู่ท่ามกลางทะเลทรายอันเวิ้งว้างคู่ไปด้วย เพราะว่าสิ่งสองสิ่งนี้มันเป็น “สิ่งมหัศจรรย์” ที่เป็นสมบัติแห่งความลึกลับของชนชาวอิยิปต์โบราณ
  • แม้จะมีการศึกษาเรื่องราวของมัมมี่มาเป็นเวลานานแล้ว แต่จนถึงปัจจุบันนี้การศึกษาความลับของมัมมี่ก็ยังคงกระทำอยู่ เพราะวิทยาการที่สูงขื้น เครื่องไม้เครื่องมือที่ทรงประสิทธิภาพขึ้น ยิ่งทำให้สามารถเจาะลึกเข้าไปสู่ความลับในประวัติศาสตร์นี้ได้มากขึ้น เราสามารถเห็นนักวิทยาศาสตร์ และนักโบราณคดีเป็นจำนวนมากก้มหน้าก้มตาศึกษา -เรื่องราวของมัมมี่อย่างจริงจัง เช่น ที่โรงพยาบาลแห่งมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย ที่พิพิธภัณฑ์ศูนย์วิทยาศาสตร์ประยุกต์แห่งโบราณคดี ที่เมืองฟิลาเดลเฟีย หรือว่า ที่สถาบัน -ศิลปศาสตร์แห่งเมืองดิทรอยท์ เป็นต้น การศึกษานอกจากจะใช้วิธีผ่าศพมัมมี่โดยตรงก็ยังมีการนำเอาระบบการถ่ายภาพจากแสงเอกซเรย์ 3 มิติ ที่เรียกว่า “Computerized Axial Tomography (CAT)“ มาใช้ซึ่งนอกจากจะไม่ต้องทำลายมัมมี่ที่ใช้ศึกษาอยู่แล้ว ยังสามารถให้รายละเอียดได้อย่างชัดเจนด้วย
  • จากความเชื่อของมนุษย์นับเป็นเวลาหลายร้อยหลายพันปีมาแล้ว เกี่ยวกับเรื่องของร่างกาย และวิญญาณ โดยที่เชื่อว่าการตายก็คือการที่วิญญาณได้หลุดลอยออกจากร่างที่เคยอาศัยอยู่ ความเชื่อถือของชาวอียิปต์โบราณ คิดว่าวิญญาณที่ได้หลุดลอยออกจากร่างเมื่อถึงเวลาหนึ่งได้เข้าไปสู่โลกอีกโลกหนึ่งซึ่งอาจจะเรียกว่า “โลกของพระเจ้า” และในวันหนึ่งข้างหน้าวิญญาณนั้นก็จะกลับมา ข้อสำคัญเมื่อวิญญาณกลับมาแล้วก็ต้องอาศัยร่างกายอยู่ และร่างกายที่จะอาศัยอยู่ได้ก็คงจะต้องเป็นร่างกายของตนเองซึ่งครั้งหนึ่งตนได้เคยอาศัยอยู่แล้ว จากความเชื่อถือนี้ การรักษาร่างกายให้คงสภาพไว้เพื่อรอการกลับมาของเจ้าของเดิมจึงเป็นสิ่งที่ชาวอียิปต์โบราณหาวิธีการทีจะทำให้ได้

  • ทุกสิ่งมีวิวัฒนาการ มัมมี่ก็เช่นกันในยุคก่อนประวัติศาสตร์ของอียิปต์โบราณร่างกายของคนตายได้ถูกห่อไว้ด้วยผ้าหรือเสื่ออย่างลวก ๆ และถูกฝังไว้ในหลุมแคบ ๆ ภายใต้พื้นทรายลึกลงไปไม่กี่ฟุต หลุมที่ฝังก็อาจจะขุดกันอย่างหยาบ ๆ อาจจะมีการก่ออิฐหรือปูด้วย ไม้กระดานบ้าง แต่ก็ไม่มีศิลปะอะไร การฝังศพแบบนี้ชาวอียิปต์ในยุคนั้นก็ได้พบ-ความจริงข้อหนึ่งว่า ภายใต้ความร้อนระอุของพื้นทรายที่ถูกแสงแดดอันแรงกล้าเผาอยู่ตลอดเวลาศพภายในหลุมหยาบ ๆ นั้นมีสภาพเหมือนถูกอบหรือตากแห้ง และมีผลทำให้ศพนั้น ยังคงสภาพอยู่ได้เป็นเวลานาน การที่ศพไม่เน่าเปื่อยและจากความคิดความเชื่อถือที่ว่าวันหนึ่งวิญญาณที่จากไปก็จะกลับคืนมาอีก ญาติพี่น้องก็เลยกลัวว่าถ้าศพฟื้นขึ้นมาเมี่อไรก็อาจจะกลายเป็นคนสิ้นไร้ไม้ตอกไปก็ได้ ก็เลยฝังพวกหม้อข้าวหม้อแกง เพชรพลอยหรือแม้แต่เครื่องใช้เครื่องมือในการทำมาหากินเอาไว้ให้ด้วย
  • ในยุคของราชวงศ์อียิปต์แรก ๆ (ก็ราวๆ เกือบ 3000 ปีก่อนคริสตศักราช) ศพจะถูกห่อ และมัดอย่างแน่นหนาด้วยผ้าลินินซึ่งอาบน้ำยา ศพถูกห่อไว้ด้วยผ้าหนามากจนแลดูกลมกะลุกปุ๊ก ถ้าจะเรียกว่ามัมมี่ก็คงเป็นมัมมี่ตุ๊ต๊ะ
  • ล่วงเลยมาจนถึงราชวงศ์ที่สองแห่งอียิปต์ (ประมาณ 2800 ปีก่อนคริสตศักราช) ความพยายามที่จะแต่งตัวให้มัมมี่ดูหล่อขึ้นก็เริ่มกันตอนนี้ มีการห่อศพด้วยผ้าลินินชุบน้ำยาอย่างพิถีพิถัน การห่อก็ไม่ใช่สักแต่ว่าห่อ ๆ ไป มีการพัวหัวพันขาแขน หรือพันรอบหน้าอก หน้าท้องเป็นส่วน ๆ พูดง่าย ๆ ก็คือพันให้เห็นเป็นรูปทรงของคนไม่ใช่พันแบบให้ต้องเดาว่าภายในห่อผ้านั้นเป็นหมูหรือเป็นคน แม้แต่นิ้วมือนิ้วเท้าก็พยายามพันเน้นให้เห็นนิ้วทั้ง 5 (จะได้ไม่เข้าใจผิดว่าก่อนตายอ้ายหมอนี่นิ้วด้วนหรือเปล่า)
  • ความพยายามของการศึกษาของนักแต่งศพชาวอียิปต์ ค้นพบว่าสาเหตุของการเน่าเปื่อยของศพ อวัยวะภายในมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้มาก ดังนั้นการทำความสะอาดภายใน จึงเป็นวิธีหนึ่งที่จะทำให้ศพถูกรักษาให้คงทนได้ยาวนานขึ้น ดังนั้นในปลายราชวงศ์ที่สามแห่งอียิปต์โบราณ (ราว 2600 ปีก่อนคริสตศักราช) การล้วงตับล้วงไส้ ของศพ-ออกมาจึงเป็นกรรมวิธีสำคัญของนักแต่งศพชาวอียิปต์
  • จากความเชื่อของชนชาวอียิปต์โบราณในเรื่องของชีวิตหลังความตายว่าวันหนึ่งชีวิตนั้นจะกลับคืนมา เป็นแรงบันดาลใจให้ชาวอียิปต์โบราณคิดค้นหาวิธีจะรักษาร่างกายเอาไว้เพื่อรอการกลับมาชีวิตอีกครั้งหนึ่ง และชาวอียิปต์โบราณทำได้ด้วยวิทยาการสมัยโบราณ ที่แม้คนสมัยนี้ซึ่งเวลาได้ล่วงเลยมาแล้วสี่พันปีก็ยังต้องทึ่ง และจากการศึกษาเราทราบว่า กว่ามัมมี่จะวิวัฒนาการจนถึงสูงสุดของมัน มันก็ต้องใช้เวลาในการทำเหมือนกัน และถึงแม้จนถึงขีดสูงสุดของมันก็ต้องใช้เวลาในการพัฒนาเหมือนกัน และถึงแม้จนถึงปัจจุบันนี้มัมมี่จากหลุมตลอดจนจากปิรามิดต่างๆในอียิปต์ไม่มีสักร่างเดียวที่จะฟื้นขึ้นมาเพื่อบอกความลับในยุคนี้กับนักวิทยาศาสตร์ของเรา จากเรือนร่างที่คงทนต่อสู้กับ -ความเน่าเปื่อยมาจนถึงเดี๋ยวนี้ก็พอเพียงแล้ว นักวิทยาศาสตร์และนักโบราณคดีของเราพยายามอ่าน ถึงประวัติศาสตร์ในยุคและเดี๋ยวนี้วิทยาการทางด้านการวิเคราะห์ด้วยแสงเอกซเรย์ ทั้งแบบธรรมดา และ axial tomography ถูกนำมาใช้ด้วย ก็ยิ่งทำให้เราศึกษาและรู้เรื่องราว ของชนชาติอียิปต์โบราณได้มากยิ่งขึ้น ทั้งทางด้านโบราณคดีหรือ -นิเวศน์วิทยา เช่น จากการศึกษามัมมี่ของเซเคเนนเรที่ 2 ของนักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมันชื่อ (Erhard Metnel) โดยการใช้แสงเอกซเรย์พบว่า สมองของเซเคเนเรที่ 2 ได้รับบาดเจ็บจากรอยแผลที่เกิดขวาน ซึ่งตามประวัติศาสตร์ระบุว่าเขาบาดเจ็บจากสนามรบและพบต่อไปว่าแขนข้างหนึ่งของเขาเป็นอัมพาตไปซึ่งก็คงเนื่องจากบาดแผลที่สมอง แต่จากการวิเคราะห์ที่ละเอียดพบว่ามีบาดแผลที่เกิดจากหอกปรากฏอยู่ที่หลังใบหูซ้าย จึงช่วยสงสัยว่าเซเคเนนเรที่ 2 อาจถูกลอบสังหารทางข้างหลังก็ได้

  • นอกจากนี้การศึกษาด้วยแสงเอกซเรย์ทำให้เรารู้ว่าฟาโรห์แต่ละคนในอดีตมีสุขภาพเป็นอย่างไรบ้าง เช่น เราสามารถนึกถึงภาพว่าฟาโรห์ซิบตาห์ (Siphtah) คงจะไม่สามารถเสด็จไปไหนมาไหนด้วย ลำพังพระองค์เองหรือไม่ก็อาจจะต้องมีไม้เท้ายัน เพราะจากแสดงเอ็กเรย์พบว่าฟาโรห์ซิปตาห์เป็นโรคโปลิโอ หรือนึกถึงภาพของฟาโรห์ราเมเสสที่ 2 (Ramessesll) พระองค์ต้องเป็นคนที่แข็งแรงกระฉับกระเฉงเพราะตรวจพบว่าพระองค์มีเส้นโลหิตที่แข็งแรงมาก แถมฟันก็คงทนถาวร รับกับประวัติศาสตร์ที่ระบุว่าฟาโรห์ราเมเสสที่ 2 มีชีวิตยืนยาวถึง 90 ปีโดยสิ้นพระชนม์ในปี 1216 ก่อนคริสตศักราช
  • จากการวิเคราะห์ซากมัมมี่นิรนามที่เรียกว่า PUM ll (มัมมี่ตัวที่ 2 ที่อยู่ในพิพิธภัณฑ์ของมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย) พบว่ามัมมี่ตัวนี้เป็นโรคปอดซึ่งเกิดจากสารคาร์บอนและซิลิกาที่เกาะแน่นสะสมอยู่ ซึ่งก็พอจะเชื่อได้ว่าชาวอียิปต์โบราณคงจะเป็นโรคปอดกันมากอันเนื่องมาจากต้องสูดหายใจเอาละอองทรายและเศษผงของหินเข้าปอดเป็นประจำส่วนคาร์บอนที่ค้นพบในปอด ก็สันนิษฐานว่ามาจากควันของการก่อกองไฟ และจากควันของตะเกียงน้ำมัน
  • ใน PUM ll ยังค้นพบไข่ของพยาธิตัวกลมอีกด้วย (บางท่านอาจจะสงสัยว่าไข่ของพยาธิทำไมถึงอยู่อึดนักทนอยู่ได้เป็นเวลาตั้งหลายพันปี ทั้งนี้เนื่องมาจากยางที่สัปเหร่อปัญญาชนใช้ในการรักษาศพมัมมี่มีผลทำให้ไข่ของพยาธิเหล่านี้ถูกรักษาเอาไว้ได้ด้วย) ซึ่งพยาธิตัวกลมนี้เป็นพยาธิที่พบได้ทั่วไปในประเทศร้อนซึ่งมีลักษณะดินชื้น และไข่ของมันแพร่หลายได้ดีโดยติดไปกับอุจจาระ แสดงว่าสุขาภิบาลในยุคของอียิปต์โบราณก็ยังไม่ดีนัก

.... รูปแบบต่างของ ปิรามิด ....

มีใครรู้บ้างว่า ปิรามิด นั้นมี กี่รูปแบบ มีกี่รูปทรง ถ้าไม่รู้มาดูกันเลยครับ
  • ปิรามิด เป็นสิ่งก่อสร้างรูปกรวยเหลี่ยมสำหรับเป็นที่เก็บศพกษัตริย์อียิปต์โบราณ ในอียิปต์มีอยู่ 70 แห่งด้วยกัน แต่ปิรามิด 3 แห่งที่อยู่เมืองกีซ่า คือ หลุมฝังศพของพระเจ้าฟาโรห์คีออพส์(พระเจ้าคูฟู) คีเฟรน และไมซีรีนัส เป็นปิรามิดที่ใหญ่ที่สุดสันนิษฐานว่าปิรามิดนี้ สร้างขึ้นมาตั้งแต่ 4600 ปีมาแล้ว นับว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคเก่า ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและยังคงตั้งตระหง่านอยู่เพียงแห่งเดียวในโลก ใช้เวลาสร้าง 10 ปี

1. ปิรามิดที่ยิ่งใหญ่ทั้งสามอันแห่งเมืองกีซ่านี้ ที่ใหญ่ที่สุดคือปิรามิดของพระเจ้าฟาโรห์คีออพส์ เรียกว่า มหาปิรามิด

  • ฐานของปิรามิดแห่งนี้มีความกว้างถึง 5770,000 ตาราง 768 ฟุต บริเวณฐานปิรามิด 4 ด้านนั้น มีความกว้างยาวเท่ากัน คือ 755 ฟุต หรือ 230.12 เมตร จะแตกต่างกันมากน้อยแค่ 8 นิ้ว

  • ตัวมหาปิรามิดนี้สูงประมาณ 432 ฟุตประมาณได้ว่ามีหินก้อนมหึมาถึง 2,300,000 ก้อน หนักกว่า 6,000,000 ตัน แต่ละก้อนหนักถึง 2.5 ตัน บางก้อนหนักถึง 16 ตัน กว้างยาวประมาณ 3 ฟุต หรือ 1 เมตร
  • สันนิษฐานว่าผู้สร้างปิรามิดนี้ อาศัยดวงดาวเป็นหลัก นอกจากความใหญ่โตอันน่ามหัศจรรย์ของปิรามิดแล้ว การก่อสร้างให้สำเร็จยัง น่ามหัศจรรย์ยิ่งกว่าหลายเท่าถ้าทราบว่าหินเหล่านี้ต้องสกัดมาจากภูเขาที่อยูไกล แล้วลากมาสู่ฝั่งแม่น้ำไนล์ ล่องลงมาเป็นระยะทางนับร้อยไมล์ จึงมาถึงจุดใกล้ที่ก่อสร้าง แล้วชักลากผ่านทะเลทรายไปถึงที่ก่อส้างต้องแต่งสลักเป็นแท่งสี่เหลี่ยม แล้วยก วางซ้อนขึ้นไปจนถึง 432 ฟุต
    ใจกลางปิรามิดมีห้องเก็บพระศพของพระเจ้าคีออพส์ข้างในทำจากหินแกรนิต กว้าง 34 ฟุต ยาว 17 ฟุต และสูง 19 ฟุต หีบพระศพของพระเจ้าคีออพส์ทำด้วยหินแกรนิตตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของห้องปิรามิดของพระเจ้าคีออพส์ ล้อมรอบด้วยหลุมศพ และปิรามิดเล็ก ๆ อีก 3 แห่ง ซึ่งเป็นของสมาชิกในราชวงศ์และในราชสำนักชั้นสูง

2. ปิรามิดแห่งที่สองของกีซ่าเป็น ปิรามิดคีเฟรน ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของมหาปิรามิด เล็กกว่ามหาปิรามิดเล็กน้อย คือสูง 460 ฟุต ช่วงบนของปิรามิดนี้มีลักษณะเด่นเพราะเป็นหินปูนขาว

  • ปิรามิดไมซีรีนัส เป็นปิรามิดที่เล็กที่สุดในบรรดาทั้งสามแห่ง สูงแค่ 230 ฟุต นอกเหนือจากปิรามิดทั้งสามแล้วยังมี ตัวสฟิงซ์ ซึ่งมีชื่อเสียงมากเช่นกัน โดยแกะสลักหินก้อนใหญ่เป็นรูปสิงโตหมอบอยู่แต่หน้าเป็นมนุษย์ใบหน้านี้เป็นใบหน้าของพระเจ้าคีเฟรน ซึ่งมีคนนับถือเป็นพระเจ้าแห่งพระอาทิตย์ รูปสฟิงซ์นี้สูงถึง 66 ฟุต ยาว 240 ฟุต หมอบเฝ้าปากทางที่พามุ่งตรงไปยังปิรามิดแห่งคีเฟรน

  • สิ่งที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางทะเลทรายใกล้แม่น้ำไนล์ก็คือ หมู่ปิรามิดแห่งอียิปต์ ปิรามิดสร้างโดยชาวอียิปต์โบราณมาเกือบ 5000 ปีมาแล้ว นอกจากนั้นยังเป็นสิ่งก่อสร้างที่ เก่าแก่ที่สุดในบรรดา 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกสมัยโบราณด้วย และที่สำคัญก็คือเป็นสิ่งเดียวที่ยังคงมีอยู่ในปัจจุบัน

3. ปิรามิดไมซีรีนัส เป็นปิรามิดที่เล็กที่สุดในบรรดาทั้งสามแห่ง สูงแค่ 230 ฟุต นอกเหนือจากปิรามิดทั้งสามแล้วยังมี ตัวสฟิงซ์ ซึ่งมีชื่อเสียงมากเช่นกัน โดยแกะสลักหินก้อนใหญ่เป็นรูปสิงโตหมอบอยู่แต่หน้าเป็นมนุษย์ใบหน้านี้เป็นใบหน้าของพระเจ้าคีเฟรน ซึ่งมีคนนับถือเป็นพระเจ้าแห่งพระอาทิตย์ รูปสฟิงซ์นี้สูงถึง 66 ฟุต ยาว 240 ฟุต หมอบเฝ้าปากทางที่พามุ่งตรงไปยังปิรามิดแห่งคีเฟรน

สิ่งที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางทะเลทรายใกล้แม่น้ำไนล์ก็คือ หมู่ปิรามิดแห่งอียิปต์ ปิรามิดสร้างโดยชาวอียิปต์โบราณมาเกือบ 5000 ปีมาแล้ว นอกจากนั้นยังเป็นสิ่งก่อสร้างที่ เก่าแก่ที่สุดในบรรดา 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกสมัยโบราณด้วย และที่สำคัญก็คือเป็นสิ่งเดียวที่ยังคงมีอยู่ในปัจจุบัน

วันพฤหัสบดี

.... ทัชมาฮาล ....




  • ทัชมาฮัล คือตัวอย่างของตำนานแห่ง “ ความรัก” ที่ปราศจากนิยามคำนี้ ผู้ที่สร้างตำนานความรักอันยิ่งใหญ่คือ กษัตริย์ชาห์ญะฮาน กษัตริย์องค์ที่ 5 ในราชวงศ์โมเลกุล ที่ทรงโปรดให้สร้าง ตาซมะฮัล หรือ ทัชมาฮัลขึ้นเป็นอนุสรณ์แทนความรักที่พระองค์มีต่อมเหสีคือ พระนางมุมตาซ มะฮัล จนสถานที่แห่งนี้กลายเป็นอนุสรณ์สถานแห่งความรักที่งดงามที่สุดในโลก


  • กษัตริย์ชาห์ ญะฮาน ทรงเป็นพระราชโอรสของกษัตริย์ญะฮางงีร์ ทรงประสูติเมื่อปี ค.ศ. 1592 เป็นที่ร่ำลือตั้งแต่ครั้งทรงพระเยาว์ว่าพระองค์ทรงเป็นเจ้าชายที่ทรงเคร่งขรึม ในพระทัยเต็มไปด้วยความทุกข์ระทม ความเป็นคนอมทุกข์ของพระราชโอรสสร้างความหนักพระทัยให้กับพระราชบิดาเป็นอย่างมาก กษัตริย์ญะฮางีร์ ทรงแนะนำให้พระราชโอรสดื่มน้ำจัณฑ์และหาความสำราญพระทัยด้านต่างๆ มาสู่พระราชโอรส แต่ก็ไม่มีอะไรดีขึ้น ชาห์ ญะฮาน ยังทรงเคร่งขรึมไม่เบิกบานพระทัยเช่นเดิม


  • จนกระทั่งวันหนึ่ง เจ้าชายได้เสด็จประพาสตลาดและได้พบกับสาวน้อยวัย 14 ปี นามว่า อรชุนด์ บาโน เบคุม เป็นบุตรสาวของ อะซีฟ ข่าน เกิดเมื่อปี ค.ศ. 1592 และมีเชื้อสายเปอร์เซีย เพียงได้เห็นดวงหน้าของนางครั้งแรกเจ้าชายก็เกิดรักแรกพบขึ้นที่ตลาดนั่นเอง 3 ปีให้หลัง พิธิอภิเษกสมรสของเจ้าชายก็ถูกจัดขึ้นในปี ค.ศ. 1612 หลังจากพิธีอภิเษก อรชุนด์ บาโน เบคุม ได้รับพระราชทานนามใหม่ว่า มุมตาซ มะฮัล ซึ่งแปลว่า อัญมณีแห่งปราสาท หลังจากนั้นเป็นต้นมาเจ้าชายก็ทรงเปลี่ยนไป เพราะเบิกบานพระทัยยิ่งนัก


  • พระนางมุมตาซ มะฮัล ทรงให้กำเนิดพระราชโอรสและพระราชธิดารวม 14 พระองค์ หลังจากทรงให้กำเนิดพระราชโอรสองค์ที่ 14 ในช่วงปี ค.ศ. 1631 พระนางได้เสด็จร่วมกรีธาทัพกับพระสวามี ณ เมืองเดคข่าน แต่ระหว่างเสด็จกลับพระนครพระนางก็ทรงพระประชวรและสิ้นพระชนม์ในที่สุดขบวนเคลื่อนพระศพสู่พระนครนั้น ถูกจัดอย่างเอิกเกริกมโหฬาร ตลอดเส้นทางที่เคลื่อนขบวนมีการโปรยทานแก่คนยากจน เมื่อขบวนเคลื่อนเข้าใกล้กรุงอาครา ผู้ที่อาลัยรักพระนางต่างมาสมทบมากขึ้นจนเป็นขบวนแห่พระศพที่ยิ่งใหญ่มาก


  • กษัตริย์ชาห์ ญะฮาน โปรดให้นำอาหารมาเลี้ยงแก่ประชาชนทั้งหลายอย่างเต็มที่ เพื่อเป็นการทำบุญอุทิศแก่พระมเหสีอันเป็นที่รักยิ่ง การจากไปอย่างไม่มีวันกลับของพระมเหสีสุดที่รักสร้างความโทมนัสตรอมพระทัยให้กับกษัตริย์ชาห์ ญะฮานเป็นอย่างมาก พระองค์ไม่ทรงเสวยและไม่ทรงพระบรรทม ทรงแต่ฉลองพระองค์ด้วยเครื่องนุ่มห่มสีขาวเป็นการไว้ทุกข์ และทรงเสด็จเยี่ยมหลุมฝังศพของพระนางทุกวันศุกร์ด้วยความอาลัยรักอย่างยิ่ง จึงโปรดให้สร้างอนุสาวรีย์แห่งความรักขึ้นมาอย่างวิจิตรอลังการ และให้ชื่อเรียกว่า ตาซ มะฮัล สร้างอยู่บนพื้นที่ 42 เอเคอร์ ริมฝั่งแม่น้ำยมุนา


  • ในการก่อสร้างนั้น กษัตริย์ชาห์ ญะฮาน โปรดให้ระดมช่าง ศิลปิน และสถาปนิกที่ได้ชื่อว่าฝีมือดีเยี่ยมที่สุดจากหลายๆ ที่ ประมาณ 20,000 คน ใช้เวลาการในก่อสร้าง 22 ปี สิ้นค้าใช้จ่ายในการก่อสร้างไปประมาณ 45 ล้านรูปี พระอนุสาวรีย์แห่งนี้สร้างด้วยศิลาขาวทั้งหมดมีโดมทรงกลมเด่นอยู่ตรงกลาง สูงถึง 72 เมตร บริเวณโดยรอบมีผนังศิลาแลงล้อมรอบ ประตูทางเข้าวางอยู่บนฐานศิลาแลง บริเวณทางเข้ามีสระน้ำหินอ่อนสีขาวรอบทางเดินเป็นสวนดอกไม้นานาพันธุ์


  • ตำแหน่งที่เป็นที่วางพระศพของพระนางมุมตาซ ทำเป็นแท่นรูปบัวตูม ส่วนหีบพระศพเป็นหินอ่อนสีขาวแกะสลักอย่างงดงาม หลังจากที่เป็นที่สร้างทัชมาฮาลเสร็จแล้ว กษัตริย์ชาห์ ญะฮาน ได้เสด็จมายังสถานที่แห่งนี้เสมอๆ จนกระทั่งในค.ศ. 1658 ก็ทรงล้มป่วย พระราชโอรสองค์ที่ 3 คือ ออรังเซป ก็ตั้งตนขึ้นครองราชบัลลังก์แทน และจับกษัตริย์ชาห์ ญะฮาน พระราชบิดา กักขังไว้จนสิ้นพระชนม์ เมื่อวันที่ 22 มกราคม ค.ศ. 1666


  • ก่อนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต ระหว่างที่ถูกกักขังอยู่กษัตริย์ชาห์ ญะฮาน เฝ้าแต่นั่งจ้องมองดูกระจกชิ้นเล็กๆ ที่ส่องสะท้อนออกไปเห็นทัชมาฮัล พระองค์สวรรคตพร้อมด้วยกระจกที่กำแน่นอยู่ในพระหัตถ์ และ พระบรมศพของพระองค์ก็ได้ถูกนำไปฝังในทัชมาฮัล เคียงข้างกับพระมเหสีสุดที่รัก ตามพระประสงค์ที่ทรงต้องการจะอยู่เคียงคู่กันตราบชั่วนิจนิรันดร์ ตำนานอันเลื่องลือของความรักที่ปรากฏไปทั่วโลกเรื่องนี้ ยังมีเรื่องเล่าในอีกแง่มุมหนึ่งเกิดขึ้นมาที่ว่ากันว่ากษัตริย์ชาห์ ญะฮาน สร้างทัชมาฮัลขึ้นมาด้วยความเห็นแก่ตัว โดยไม่คิดถึงหลักมนุษยธรรม และทัชมาฮัลก็กลายเป็นที่เกลียดชังของทุกคนเพราะในการสร้างทัชมาฮัล กษัตริย์ชาห์ ญะฮาน ระดมช่างฝีมือดีมาเป็นจำนวนมากและมีกฎว่าต้องสร้างให้เสร็จตามกำหนดเวลา ถ้าสร้างไม่เสร็จก็จะถูกลงโทษ และยังมีเรื่องเล่าอีกว่า เมื่อสร้างทัชมาฮัลเสร็จแล้ว ช่างทุกคนก็ถูกฆ่าตาย จนหมดเพื่อป้องกันไม่ให้ไปสร้างสถานที่ที่งดงามเช่นนี้เลียนแบบไว้ที่ไหนอีก

.... หอไอเฟลแห่งเมือง Paris ....


  • หอคอยเป็นสิ่งที่แสดงถึงความทะเยอทยานของมนุษย์ และ หอคอยที่โลกรักมากที่สุดคือ หอไอเฟล (Eiffel Tower) ณ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เป็นหอคอยที่มีความสูงเสียดฟ้า มีความงามสง่า รูปร่างอ่อนช้อย ซึ่งสะท้อนให้เห็นจิตวิญญาณของฝรั่งเศส หอไอเฟลได้รับการออกแบบและก่อสร้างในปี ค.ศ.1839 มันคือผลงานชิ้นเอกในการ -ฉลองการปฏิวัติฝรั่งเศสอันนองเลือดเมื่อ 100 ปีก่อนหน้า
    14 กรกฎาคม ค.ศ.1789 ท่ามกลางความต้องการที่จะปฏิวัติ ชาวปารีสได้เข้าโจมตีชนชั้นสูง บุกยึกคุกบัสติล ซึ่งมีผู้มีความคิดขัดแยงทางการเมืองถูกคุมขังเอาไว้ ผู้รัก-ชาติได้รวมตัวกันเพื่อต่อต้านชนชั้นปกครอง ซึ่งเป็นการสร้างพื้นฐานสำหรับการเคลื่อนไหวประชาธิปไตยยุคใหม่
    อีก 1 ศตวรรษหลังการปฏิวัติ ความภาคภูมิใจของฝรั่งเศสถูกบั่นทอนด้วย ความพ่ายแพ้ของกองทัพต่อเยอรมัน ในปี 1870 และก็ ความคิดที่จะจัดงานแสดงสินค้านานาชาติ จึงเป็นหนทางอันยิ่งใหญ่เพื่อลืมความปวดร้าว และ เพื่อแสดงความยิ่งใหญ่ ความร่ำรวยของประเทศ จึงจำเป็นที่ต้องมีผลงานศิลปะชิ้นเอกที่อวดแก่ฝูงชน และจากความสำเร็จในยุคอุตสาหกรรมจึงนำเสนอความสำเร็จทางวิศวกรรม นั่นคือ หอคอย
    หอคอยเหมือนเป็นสิ่งที่ชาญฉลาดทางเทคโนโลยี ในอดีตไม่เคยมีใครสร้างหอคอยที่สูงกว่า 1,000 ฟุต หลายคนพยายามลอง แม้กระทั่งในสหรัฐอเมริกาก็มีการออกแบบไว้อยู่หลายแบบ แต่ก็ไม่เคยสร้างจริงขึ้นมา ฝรั่งเศสได้จัดการประกวดเพื่อออกแบบหอคอย แบบแรกถูกเสนอโดย เวอร์ริส คล็อกลิน ซึ่งเป็นหนึ่งในคณะวิศวกรของ กุสตาฟ ไอ-เฟล (Gustave Eiffel)

  • สตาฟ ไอเฟล เป็นทั้งสถาปนิกและวิศวกรชั้นนำของฝรั่งเศส ชื่อเสียงของเขาเกิดจาก การออกแบบสะพานที่เต็มไปด้วยจินตนาการ เขาค้นคว้าเกี่ยวกับแนวคิดในการออกแบบด้วยโครงสร้างโลหะ การที่มี กุสตาฟ ไอเฟล เข้ามาร่วมงาน จึงเป็นเครื่องรับประกันในเรื่องเงินทุนสนับสนุน และความสำเร็จของงาน วิศวกรหนุ่มของ กุสตาฟ ไอเฟล 2 คน คือ เวอร์ริส คล็อกลิน และ เอมิล นูลจิเย เริ่มแนวคิดในการสร้างหอคอยสูง 300 เมตร สำหรับงานแสดงสินค้าในปี ค.ศ.1890 ในปารีสเขาเริ่มร่างแบบโครงสร้างของหอ-คอยอย่างคร่าวๆ และขอให้สถาปนิกชื่อ สตีเฟน สเตาว์เธอร์ ออกแบบส่วนตกแต่งเพื่อเติม ซึ่งมีลักษณะเป็นช่อดอกไม้ โค้ง และมีปติมากรรมเล็กๆ น้อยๆ โดยมีแรงบันดาลใจมาจากแนวคิดทางสถาปัตยกรรมฝรั่งเศส ในปี ค.ศ.1887 ว่า สามารถสัมผัสกับท้องฟ้าในระดับที่เป็นไปไม่ได้ คือ 1,000 ฟุต
  • กุสตาฟ ไอเฟล ได้เห็นแบบแปลนและอนุมัติ เขาได้สนใจแนวคิดเกี่ยวกับหอคอยนี้ และได้ออกแบบส่วนตกแต่งเพิ่มเติมที่เกี่ยวข้องกับตัวเขาเข้าไปด้วย การมีชื่อ กุสตาฟ ไอเฟล อยู่ในโครงการ ทุกคนรู้ผลลัพธ์ของการแข่งขันนี้ การมีสายสัมพันธ์ทางการเมืองและสังคมของกุสตาฟ ไอเฟล ทำให้มีความพร้อมที่จะผลักดันให้โครงการผ่านหน่วยงานปกครองของปารีสได้อย่างรวดเร็ว และทำให้โครงการจากแบบแปลนสำเร็จเป็นจริงได้ หอคอยซึ่งออกแบบจากความก้าวหน้าในยุคอุตสาหกรรม เป็น งานที่มีความท้าทายทางวิศวกรรม และ กุสตาฟ ไอเฟล จะได้แสดงให้เห็นถึงความความคิดสร้างสรรค์ของเขาที่เคยใช้ในการออกแบบมาแล้ว



  • บนพื้นที่สี่เหลี่ยมจตุรัสของฐานหอคอยมีความกว้างด้านละ 426 ฟุต จะมีขาของหอคอยทั้ง 4 ในแต่ละด้าน รองรับน้ำหนักของโครงสร้างโลหะกว่า 7,000 ตัน บนฐานจะเป็นฐานก่ออิฐซึ่งจะฝังสมอยึด 2 ตัวสำหรับขาแต่ละข้าง จากฐานนี้ ขาจะถูกขึ้นเป็นมุม 60 องศาในลักษณะคานโครงเหล็ก คานนี้ประกอบไปด้วยท่อนเหล็กและเหล็กแผ่นที่ถูกยึดติดกันที่ด้านข้าง โครงสร้างที่ได้จะมีความเข็งแรงมาก แต่มีนำหนักเบา ประกอบง่าย ใช้มาตรฐานเดียวกัน และ มีราคาไม่แพง เมื่อประกอบเสร็จจะใช้ชิ้นส่วนโลหะทั้งหมด 18,000 ชิ้น และหมุดยึดอีก 2 ล้าน 5 แสน ตัว เพื่อประกอบเป็นหอคอย ทั้งหมดใช้เพียงเหล็กท่อนแบนและแผ่นเหล็กในการประกอบ
  • ขั้นตอนแรกของการก่อสร้าง ขาทั้ง 4 ต้นจะถูกสร้างขึ้นพร้อมๆกันและจะบรรจบกันที่ชั้นแรกของหอคอย ด้วยมุมที่มีความลาดชั้น จึงต้องติดตั้งคำยันที่ขาทั้ง 4 ต้น และติดตั้งคำยันตรงกลางของฐานหอคอยเพื่อรองรับคานในแนวศูนย์กลางที่จะยึดโครงสร้างต่างๆ เอาไว้ ที่ขาแต่ละข้างมีแม่แรงไฮโดรลิกที่สามารถปรับระดับความสูงได้อย่าง -อิสระ และ เพื่อให้ได้ความแม่นยำตามที่ต้องการ เมื่อขั้นตอนเหล่านี้เสร็จสิ้น กุสตาฟ ไอเฟล รู้ว่าไม่มีอะไรหยุดยั้งการบรรลุความฝันของเขาได้ หลายคนก็กลัวว่าหอคอยจะทำ-ลายทัศนียภาพของกรุงปารีส กลุ่มศิลปินหลายคนกล่าวโจมตีว่าเป็นการเอาเปรียบของยุคอุตสาหกรรม และเป็นโคมไฟที่น่าสมเพศที่ผลุดขึ้นมาจากปารีส กุสตาฟ ไอเฟล ได้โต้ตอบกลับอย่างรุนแรงว่า นี่คือสิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดที่มนุษย์เคยสร้าง มันจะไม่มีความสง่างามในตัวของมันเองเลยหรือไร






  • วันที่ 2 เมษายน ค.ศ.1888 หอคอยขึ้นสู่ยอดฟ้าของกรุงปารีส เหมือนได้นำเอาจิตวิญญาณของฝรั่งเศสขึ้นไปด้วย ผู้คนชื่นชอบมัน จากการออกแบบโครงร่างอย่างคร่าวๆ บัดนี้ได้แสดงให้เห็นถึงความคิดสร้างสรรค์อันลื่นไหล ความอ่อนช้อยของโครงสร้าง ส่วนโค้ง แนวประดับต่างๆ ทำให้มีความรู้สึกที่ตรงข้ามกับแนวหมุดที่ยึดเปลือย และหยาบกระด้าง นี่เป็นงานศิลปะที่จะบอกให้โลกรับการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่
  • กุสตาฟ ไอเฟล เป็นคนแรกที่เดินขึ้นบันได 1,710 ขั้น เพื่อขึ้นไปที่จุดสูงสุดของหอคอย แล้วแขวนธงชาติ 3 สีของฝรั่งเศส มีการเปิดงานแสดงสินค้าในปี ค.ศ.1889 ในกรุงปารีส งานชิ้นเอก คือหอคอยที่สูงกว่า 300 เมตรที่งดงาม และในที่สุดมันจะเป็นที่รู้จักในนาม หอไอเฟล

วันพุธ

.... กล่องดำ ....

เมื่อใดก็ตามที่เกิดอากาศยานอุบัติเหตุ สองสิ่งแรกที่หน่วยกู้ภัยต้องรีบค้นหาคือ ผู้รอดชีวิตและอุปกรณ์บันทึกข้อมูลการบิน หรือที่เรียกกันว่า "กล่องดำ (Black Box)" เครื่องบินโดยทั่วไปจะต้องปฏิบัติตามกฎด้านการบิน ในการติดตั้ง "กล่องดำ" สองชนิดสำหรับบันทึกข้อมูลการบินเพื่อช่วยจำลองเหตุการณ์ก่อนหน้าที่จะเกิดอุบัติเหตุ

กล่องดำ 2 ชนิดคือ



1. เครื่องบันทึกเสียงในห้องนักบิน (The Cockpit Voice Recorder - CVR)

  • กล่องที่ชื่อว่า Cockpit Voice Recorder (CVR) โดย เครื่อง CVR จะบันทึกเสียงพูดของนักบิน รวมทั้งเสียงอื่นๆ ที่เกิดขึ้นในห้องนักบิน โดยรับเสียงจากไมโคร- โฟนของนักบิน และไมโครโฟนที่ติดตั้งไว้ในแผงอุปกรณ์ด้านบนระหว่างนักบินทั้งสอง เสียงที่เกิดขึ้นในห้องนักบินทั้งหมดเช่น เสียงเครื่องยนต์ สัญญาณเตือน เสียงการ เคลื่อนไหวของฐานล้อ เสียงการกดหรือว่าปลดสวิตช์ต่างๆ เสียงการโต้ตอบการจราจรทางอากาศ การแจ้งข่าวอากาศ และการสนทนาระหว่างนักบินกับพนักงานภาคพื้น- หรือลูกเรือ จะถูกบันทึกไว้เพื่อประโยชน์ในการสอบสวน โดยจะนำไปพิจารณาประกอบกับค่าอื่นๆ เช่น รอบเครื่องยนต์ ระบบที่ผิดปกติ ความเร็ว และเวลา ณ เหตุการณ์ - นั้นๆ เครื่องบันทึกเสียงในห้องนักบินแบบแถบแม่เหล็ก จะบันทึกเสียงได้ในช่วงเวลาประมาณ 30 นาที จากนั้นจะขึ้นรอบการบันทึกใหม่ ในขณะที่เครื่องบันทึกแบบหน่วย ความจำ สามารถบันทึกได้รอบละประมาณสองชั่วโมง

2. เครื่องบันทึกข้อมูลการบิน (The Flight Data Recorder - FDR)

  • กล่องที่ชื่อว่า Flight Data Recorder - FDR โดย เครื่อง FDR จะบันทึกสภาวะต่างๆ ในระหว่างปฏิบัติการบิน ตามกฎระเบียบสำหรับอากาศยานรุ่นใหม่ๆ จะต้อง มีการตรวจบันทึกข้อมูลที่สำคัญอย่างน้อย 11 ถึง 29 ประเภท ตามขนาดเครื่องบิน เช่น เวลา ระยะสูง ความเร็ว ทิศทาง และท่าทางของเครื่องบิน นอกจากนี้ FDR บาง เครื่องสามารถบันทึกสถานะต่างๆ ได้อีกมากกว่า 700 ลักษณะ ซึ่งมีประโยชน์มากสำหรับการสอบสวน รายการที่ถูกตรวจบันทึกพื้นฐานได้แก่ เวลา ระยะสูง ความเร็ว อัต- ราเร่งตามแนวดิ่ง ทิศทาง ตำแหน่งคันบังคับและอุปกรณ์บังคับการบินอื่นๆ ตำแหน่งของแพนหางระดับ อัตราการไหลของเชื้อเพลิง ด้วยข้อมูลที่อ่านได้จาก FDR จะทำ ให้คณะผู้สอบสวนอุบัติเหตุสามารถสร้างภาพเคลื่อนไหวของการบินได้ เจ้าหน้าที่สอบสวนสามารถมองเห็นภาพท่าทางเครื่องบิน ค่าที่อ่านได้จากเครื่องวัด การใช้เครื่อง ยนต์ และ ลักษณะอาการต่างๆ ของการบิน ภาพเคลื่อนไหวนี้ทำให้คณะผู้สอบสวน ทราบเหตุการณ์สุดท้ายของการบินก่อนเกิดอุบัติเหตุ

กล่องดำจะถูกทำการทดสอบดังนี้ก่อนที่จะนำออกใช้งาน

  • ยิงอุปกรณ์นี้ให้กระทบเป้าอลูมิเนียมเพื่อให้เกิดแรงกระแทก 3,400 G (แรงโน้มถ่วงของโลก = 1 G)
  • ทดสอบความทนต่อการเจาะ โดยปล่อยก้อนน้ำหนักขนาด 500 ปอนด์ (227 กิโลกรัม) ที่มีเข็มเหล็กขนาด 0.25 นิ้ว อยู่ด้านล่าง ให้กระทบลงบน CSMU จากความสูง 10 ฟุต (3 เมตร)
  • ทดสอบด้วยแรงกด 5,000 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว เป็นเวลา 5 นาที บนทุกด้านของ CSMU
  • เผาด้วยความร้อน 2,000 oF (1,100 oC) นาน 1 ชั่วโมง
  • แช่ในน้ำเค็มนาน 24 ชั่วโมง- แช่น้ำนาน 30 วัน
  • ทดสอบความทนทานต่อของเหลวอื่นๆ เช่น เชื้อเพลิงเครื่องบิน, นำมันหล่อลื่น และสารเคมีดับเพลิง

ข้อมูลจาก http://www.thaiair.info/

.... เจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลก ....

ก่อนที่จะรู้ว่าเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกนั้นมีอะไรบ้างก็ควรรู้ การแบ่งประเภทของสิ่งมหัศจรรย์ กันก่อน

  • การแบ่งประเภทของสิ่งมหัศจรรย์ในโลกอันกว้างนั้นสามารถจำแนกออกเป็นหลายสาขาด้วยกัน อาทิเช่น สิ่งมหัศจรรย์สาขาภูมิศาสตร์ , สาขาประวัติศาสตร์ , สาขาจิตรกรรม และสถาปัตยกรรม , สาขาชีววิทยา และก็ สาขาวิทยาศาสตร์

การจัดแบ่งสิ่งมหัศจรรย์ทางสถาปัตยกรรม สามารถแบ่งได้เป็น 3 ยุค คือ

1. สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคโบราณ

2. สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคกลาง

3. สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคปัจจุบัน

สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคโบราณ (อายุตั้งแต่ 5,000 ปี ก่อนคริสตกาล - ค.ศ. 500)

  1. พีระมิดแห่งเมืองกิเซห
  2. โบสถ์แห่งเดียนา
  3. สุสานของกษัตริย์มอโซลุส
  4. สวนลอยแห่งกรุงบาบิโลน
  5. เทวรูปซีอูส
  6. เทวรูปโคโลสซูส
  7. เทวรูปโคโลสซูส

สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคกลาง (อายุตั้งแต่คริสตศตวรรษที่ 5 - คริสตศตวรรษที่ 16)

  1. หอเอนเมืองปิซา
  2. โคลอสเซียมแห่งโรม
  3. สุสานแห่งอเลกซานเดรีย
  4. สุเหร่าเซ็นต์โซเฟีย
  5. กำแพงเมืองจีน
  6. เจดีย์กระเบื้องเคลือบนานกิง
  7. กองหินประหลาดสโตนเฮนจ์

สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคปัจจุบัน (สร้างขึ้นระหว่างศตวรรษที่ 17 - ศตวรรษที่ 20)

  1. ปราสาทหินนครวัตนครธม
  2. ทัชมาฮาล
  3. พระราชวังแวร์ซายส์
  4. เรือควีนแมรี่
  5. สะพานโกลเดนเกต
  6. ตึกเอมไพรสเตรท
  7. ทำนบยักษ์ฮูเวอร์