วันพฤหัสบดี

การใช้ Adobe Lightroom

- Short Cut ที่ควรทราบสำหรับการจัดการและนำเสนอภาพ
F - เปลี่ยนมุมมองหน้าจอ
L - ทำให้จอมืดลง เพื่อให้ภาพเด่นขึ้น
Tab - ซ่อน / แสดง อุปกรณ์เครื่องมือด้านข้าง (ไม่มีผลกับอัลบั้มภาพ)
Shift + Tab - ซ่อน / แสดง อุปกรณ์เครื่องมือทั้งหมด
Num 1-5 - ให้ rating เป็นคะแนนกับภาพนั้น ตั้งแต่ 1 5 ดาว
R - ครอบภาพ
C - เรียกภาพปัจจุบันที่เลือกอยู่กับภาพที่เลือกก่อนหน้านี้ ขึ้นมาเปรียบเทียบกัน
T - ซ่อนและแสดง Tool Bar
- โหมด Library (จัดการอัลบั้มภาพ)
Navigator - ใช้สำหรับย่อ / ขยาย ภาพ
Preset - ใช้เรียกค่าการแต่งภาพในโหมด Develop ที่เราบันทึกขึ้นมาใช้กับภาพนั้น
Crop Ratio - ครอบภาพ โดยใช้อัตราส่วนตามที่กำหนด (หากโปรแกรมครอบให้ไม่พอใจ สามารถกด R เพื่อครอบภาพเองได้)
Treatment - เลือกว่าต้องการแสดงเป็นภาพสี หรือขาว-ดำ
WB - ปรับค่า White Balance ของภาพนั้น โดยมี Preset ให้เลือกอยู่แล้ว หรือจะปรับค่า
เองอย่างละเอียด ที่ Temp และ Tint ก็ได้
Exposure - เพิ่มการชดเชยแสงของภาพ
Recovery - ทำให้ส่วนที่เป็น Highlight มืดลง เพื่อกู้รายละเอียดส่วนที่เกิน Highlight กลับมา
Fill Light - ตรงข้ามกับ Recovery ใช้เพิ่มความสว่างให้กับส่วนที่มืด เพื่อดึงรายละเอียดส่วนที่
มืดกลับคืนมา
Black - ใส่สีในส่วนสีโทนมืดของภาพ ให้มืดมากขึ้น
Brightness - เพิ่มความสว่างของภาพ
Contrast - เพิ่มความเปรียบต่างของภาพ (ภาพส่วนดำจะดำมากขึ้น ส่วนขาวจะขาวมากขึ้น)
Vibrance - เพิ่มความสดของสี (คล้าย Saturation)
Auto Tone - ให้โปรแกรมปรับ Option ในส่วน Quick Develop ให้โดยอัตโนมัติ
Reset - คืนค่าเริ่มต้นของภาพนั้น

- โหมด Develop (ตกแต่งภาพ)
Histogram
บอก Channel สีรวมถึงขาว-ดำ ว่ามีปริมาณมากน้อย เพียงใดในภาพนั้นๆ ไล่จากด้านซ้าย (ส่วนที่มืดที่สุดไป) จนถึงด้านขวา (ส่วนที่สว่างที่สุด) ใน Histogram แบ่งออกได้เป็น 4 ส่วน หลักๆ ได้แก่
1. Blacks
2. Fill Lights
3. Exposure
4. Highlight
เมื่อเอาเมาส์ไปวางไว้เหนือลูกศรรูปสามเหลี่ยมชี้ขึ้นด้านซ้ายสุด จะบอกถึง พื้นที่ส่วนที่ภาพนั้นไม่มีรายละเอียดเนื่องจาก พื้นที่ในส่วนนั้น มืดเกินกว่าที่กล้องจะเก็บรายละเอียดมาได้ ( ในทางกลับกัน ลูกศรด้านขวาจะบอกถึงพื้นที่ที่ไม่มีรายละเอียด เนื่องจาก พื้นที่นั้นสว่างเกินกว่าที่กล้องจะเก็บรายละเอียดได้ ) นอกจากนี้ เรายังสามารถปรับค่า Exposure, Recovery, Fill light และ Blacks ได้โดย Drag เมาส์ที่ Histogram ได้เลย

Basic
Treatment = เปลี่ยนภาพเป็นสี หรือ ขาว-ดำ
WB
ปรับ White Balance สามารถเลือกปรับได้ 3 แบบ
1. เลือกจากPreset ที่กำหนด
2. เลือกจากตัวอย่างสีเทากลางในภาพ โดยคลิกที่หลอดดูดสี แล้วเลือกตัวอย่างสีจากในภาพ ตัวอย่างสีที่เลือก ตามทฤษฎี จะต้องเป็นสีเทากลาง 18 % แต่เราพออนุโลมเลือกสีขาว หรือสีเทาในภาพได้
3. ปรับค่าเองจาก สไลเดอร์ Temp และ Tint
Tone
ปรับแสงในภาพ โดยสามารถให้โปรแกรมปรับให้เอง (กด Auto) หรือเลือกปรับเองก็ได้
Exposure - เป็นการจำลองการปรับค่ารูรับแสงให้แคบลง (-) หรือกว้าง (+) ขึ้น มีผลทำให้ภาพนั้น สว่างหรือดำยิ่งขึ้น คล้ายการปรับ F-stop ที่หน้ากล้อง (ไม่มีผลกับระยะชัด)
Recovery - เป็นการทำให้ภาพส่วนที่เป็น Highlight มืดลง เพื่อดึงรายละเอียดในพื้นที่ส่วนที่เกินกว่า Highlight กลับคืนมา (ฟังก์ชั่นนี้จะไม่มีผลกับพื้นที่ส่วน Blacks แต่มีผลเล็กน้อยกับ พื้นที่ส่วน Fill Light และ Exposure )
Fill Light - เป็นการเพิ่มความสว่างให้กับภาพในส่วนพื้นที่ black ( คล้ายฟังก์ชั่น D- Light ใน Capture NX ) มีประโยชน์ในกรณีที่ต้องการให้ภาพทั้งภาพมีโทนแสงเท่ากัน เช่น แก้การถ่ายภาพย้อนแสง เป็นต้น
Blacks - คล้ายกับ Highlight แต่จะเป็นการดึงรายละเอียดในพื้นที่ส่วนที่มืดกว่า Blacks กลับคืนมา
Brightness - เป็นการเพิ่มความสว่าง โดยใช้หลักรีดสีให้สว่างขึ้น โดยจะรีดสีไม่เกินกว่าขอบเขต Black และ Highlight ของภาพ ผลหลักๆ กับพื้นที่ส่วนที่เป็น Fill Lights และ Exposure ของภาพ ในกรณีที่ปรับค่า Brightness เพิ่มขึ้น ภาพจะสว่างขึ้น แต่จะออกลักษณะฝ้าๆ เนื่องจากโทนสีในส่วนที่ควรจะเป็นโทนสีดำกลับเป็นสีเทาแทน
Contrast - ปรับความเปรียบต่างของภาพ มักใช้คู่กับ Brightness เพื่อทำให้ภาพส่วนที่เป็นสีเทากลับเป็นสีดำ หากปรับเพิ่มขึ้น สีโทนขาวที่อยู่ทางขวาของเส้นกลาง Histogram จะถูกปรับให้สว่างมากขึ้น และสีโทนดำที่อยู่ทางซ้ายจะถูกปรับให้ดำมากขึ้น ในทางกลับกัน หากปรับ Contrast ลดลง โทนสีทั้ง 2 ด้าน จะปรับลู่เข้าหาเส้นกลาง ส่งผลให้ภาพดูลักษณะเทาๆ ไม่มีความเปรียบต่างของสี
Colors
โหมดในการควบคุมสี มี 2 ส่วน ได้แก่
Vibrance - เพิ่ม contrast ของสีทั้ง3สี RGB (กรณีภาพอยู่ในโหมด RGB) ให้เข้มขึ้นหรือจืดลง
Saturation - ใช้เร่งสีแต่ละสี (RGB) ให้แต่ละสีขับออกมาได้เด่นขึ้น (กรณีที่ปรับเพิ่มขึ้น แต่ละสีในภาพจะสามารถแยกออกจากกันได้อย่างชัดเจน)

Tone Curve
แกน X แสดงความสว่างของภาพ ไล่จากด้านซ้ายไปด้านขวา คือจากมืดไปสว่าง แกน Y แสดงปริมาณของแสงในแต่ละค่าแกน X ว่ามีมากน้อยเพียงไรในภาพ
พื้นที่ของ Curve จะถูกแบ่งออกเป็น 4 ส่วน โดยแบ่งจาก ตาราง 4x4 ใน Curve ได้แก่
1. Highlights สี่เหลี่ยมผืนผ้าที่ 4 ของแกน x
2. Lights สี่เหลี่ยมผืนผ้าที่ 3 ของแกน x
3. Dark สี่เหลี่ยมผืนผ้าที่ 2 ของแกน x
4. Shadows สี่เหลี่ยมผืนผ้าที่ 1 ของแกน x
เราสามารถปรับขอบเขตของการปรับ Curve ขึ้นลง ได้โดยเลื่อนสไลเดอร์รูปหยดน้ำ 3 หยด ด้านล่าง Curve
ในเบื้องต้นของการปรับ Curve แนะนำให้ใช้ Slider ด้านล่าง แทนที่จะปรับที่ตัว Curve โดยตรง ซึ่งหลักโดยทั่วไป คือ
1. เพิ่ม Lights เพื่อทำให้พื้นที่ส่วนใหญ่ของภาพสว่างขึ้น
2. ลด Highlights เพื่อให้พื้นที่ขาวสุดของภาพ มีรายละเอียดขึ้นเล็กน้อย
3. เพิ่ม Shadows เพื่อให้พื้นที่ดำสุดของภาพ มีรายละเอียดขึ้นเล็กน้อย
4. ลด Dark เล็กน้อย เพื่อคงรายละเอียดส่วนดำของภาพไว้ ไม่ให้ขาวตาม Lights ที่เพิ่มขึ้น ทำให้ภาพมีความเปรียบต่างของสี
เรายังสามารถปรับค่าความโค้งของ Curve เพื่อให้เกิด Contrast มากขึ้นหรือน้อยลงได้ที่ Point Curve ได้แก่
1. Linear
2. Medium Contrast
3. Strong Contrast
* ในแต่ละภาพ สามารถปรับแก้ได้แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับภาพต้นฉบับและวัตถุประสงค์ของการนำเสนอภาพไม่จำเป็นต้องทำตาม 4 ขั้นตอนข้างต้นเสมอไป ใช้หลักให้สายตามองเห็นว่าสวยก็พอ


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น